วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2554

สภาประชาชน สภาผู้บริโภค

สภาประชาชน สภาผู้บริโภค
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
                เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2554 กระผมได้มีโอกาสเข้าร่วม เวที สภาประชาชน “ คนพยาว ฮ่วมกึ๋ด อู้จ๋า สภาผู้บริโภค ”  ณ  ห้องประชุมพุดตาน โรงแรมเกทเวย์ อ.เมือง จ.พะเยา ภายในงานมีรายการต่างๆ เช่น มีการแสดง จ๊อย ซอ เรื่องสิทธิผู้บริโภค , ชมวีดีทัศน์ “ หนึ่งปีที่ผ่านมากับการทำงานคุ้มครองผู้บริโภคในจังหวัดพะเยา ” , พิธีเปิด “ เวทีสภาผู้บริโภคจังหวัดพะเยา ” , บรรยาย “ ทิศทางการทำงานคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคจังหวัดและ ความร่วมมือเครือข่ายผู้บริโภคจังหวัดพะเยา ” ,  บรรยายเรื่อง “ ผู้บริโภคได้อะไรจาก พ.ร.บ.องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ” , และมีการแบ่งกลุ่มห้องเรียนผู้บริโภคในหัวข้อต่างๆ เช่น ห้องที่ 1 ผู้บริโภคกับบริการด้านโทรคมนาคม , ห้องที่ 2 พฤติกรรมผู้บริโภคกับการใช้ยา , ห้องที่ 3 รถโดยสารสาธารณะเมืองไทย ปลอดภัยจริงหรือ , ห้องที่ 4 ภัยใกล้ตัวผู้บริโภค จากผลิตภัณฑ์แร่ใยหิน , ในช่วง บ่าย มีการแสดง ละครสั้น “ สะท้อนปัญหาผู้บริโภค ” โดยแกนนำเยาวชนชุมนุมคุ้มครองผู้บริโภค โรงเรียนพะเยาพิทยาคม และมีการสรุป นำเสนอความคิดเห็นของผู้บริโภคในจังหวัดพะเยา
                สำหรับเรื่อง รถโดยสารสาธารณะเมืองไทย ปลอดภัยจริงหรือ วิทยากรหลักโดย ผศ.ดร.สมประสงค์ สัตยมัลลี สำหรับความคิดเห็นของกระผมคิดว่าเรื่องของการบริการและความปลอดภัยรถโดยสาร สาธารณะถ้าเทียบจากอดีตกระผมคิดว่ามีการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น และถ้าเทียบกับหลายประเทศในประเทศเพื่อนบ้านเราดีกว่าหลายประเทศ แต่ถ้าหากเทียบกับประเทศที่เจริญแล้ว ยังอเมริกา ฝรั่งเศส อังกฤษ ประเทศไทยของเราก็คงเทียบในเรื่องการบริการและความปลอดภัยรถโดยสารสาธารณะ นั้นคงยาก ด้านอุบัติเหตุที่ปรากฏเป็นข่าว เมื่อเดือนมีนาคม 52 – กรกฏาคม 53 (1 ปี 4 เดือน) ในรถประเภทต่างๆ อุบัติเหตุจำนวน 260 ครั้ง จำนวนผู้ประสบภัย 2,139 คน บาดเจ็บ 1,988 คน เสียชีวิต 151 คน กระผมคิดว่าเป็นความสูญเสียที่เกิดขึ้นซ้ำซาก ซึ่งอุบัติเหตุดังกล่าวมีปัจจัยมาจาก คนขับรถโดยสาร สภาพรถโดยสารที่ไม่มั่นคงปลอดภัย(ล้อรถไม่มีดอกยาง รถมีการดัดแปลง มีความไม่แข็งแรง) สภาพถนนต่างๆ ที่ไม่ได้มาตรฐาน ฯลฯ ซึ่งเป็นที่น่าเสียใจเนื่องจากการสูญเสียหรือความเสียหายที่เกิดขึ้นทำให้ เกิดการเสียค่าใช้จ่ายไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล ค่าปลงศพ , ภาระค่ารักษาที่มากกว่าเงินประกันภัยที่ได้รับ , การเสียโอกาสในการเดินทางและการทำงานในอนาคต และ สภาพจิตใจที่ต้องใช้เวลาฟื้นฟู สำหรับเรื่องของสภาพรถโดยสาร บางคัน ผมเคยเห็นบางคัน ไม่น่าจะมาเป็นรถโดยสารได้ เนื่องจากสภาพรถที่ไม่มั่นคงปลอดภัย แต่ก็มีรถหลายคันยังสามารถขับขี่บนท้องถนนได้ ถึงแม้จะมีการตรวจสภาพจากหน่วยงานที่รับผิดชอบมาแล้วก็ตาม กระผมก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด ด้านสถานีขนส่งหลายจังหวัดมีสภาพคล้ายคลึงกัน กล่าวคือ สภาพห้องน้ำที่มีกลิ่นเหม็น แถมบางแห่งยังมีการเก็บค่าเข้าห้องน้ำอีกต่างหาก สภาพถนนที่มีสภาพที่ไม่ได้มาตรฐาน ฯลฯ ส่วนบริษัทประกันภัย ก็ได้เสนอจ่ายเงินค่าชดเชยหรือผลของการเยียวยา จำนวนน้อยกว่าค่าใช้จ่ายจริงในการเกิดอุบัติเหตุ จนต้องมีการฟ้องร้องและไกล่เกลี่ยเจรจากัน หลังฟ้อง เช่น กรณีนางสาวคนหนึ่ง ได้รับบาดเจ็บใบหน้าฟกช้ำ เลือดคั่งในสมอง บริษัทประกันภัยได้เสนอจ่าย 4,700 บาท ตกลงกันไม่ได้กับผู้เสียหาย จึงฟ้องร้องในขั้นเจรจาไกล่เกลี่ยหลังฟ้องเป็นคดีได้รับเงิน 50,000 บาท
 กระผมขอฝากท่านผู้อ่านในเรื่อง สิทธิของผู้ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ 10 ประการ ตามสิทธิตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภคฯ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ดังนี้ 1.สิทธิที่จะได้รับข้อมูลข่าวสารรวมทั้งคำพรรณนาคุณภาพเกี่ยวกับบริการรถ โดยสาร รวมทั้งความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัย ที่ถูกต้องเป็นจริงครบถ้วน เพียงพอต่อการตัดสินใจใช้บริการ 2.ผู้โดยสารมีสิทธิที่จะได้รับความเป็นธรรมในด้านสัญญา และราคาค่าบริการ 3.ผู้โดยสารมีอิสระในการเลือกใช้บริการด้วยความสมัครใจ และปราศจากการชักจูงใจอันไม่เป็นธรรม 4.สิทธิที่จะได้รับความปลอดภัยในทุกๆ ด้านจากการใช้บริการรถโดยสาร 5.สิทธิที่จะได้รับการบริการจากรถโดยสารและผู้ให้บริการที่มีคุณภาพมาตรฐาน 6.สิทธิในการร้องเรียนหรือฟ้องร้องเพื่อให้ผู้ให้บริการหรือหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขปัญหา เยียวยา หรือชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้น 7.สิทธิที่จะได้รับการชดใช้ความเสียหายจากการประกันภัยโดยไม่มีการประวิง เวลา หรือบังคับให้ประนีประนอมยอมความ 8.สิทธิที่จะได้รับการชดใช้ความเสียหายทั้งทางร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สินและสิทธิอื่นๆ ที่ถูกละเมิด 9.สิทธิที่จะได้รับการชดใช้ความเสียหายด้วยหลักแห่งพฤติการณ์และความร้ายแรง แห่งละเมิด 10.สิทธิที่จะรวมตัวกันเพื่อพิทักษ์สิทธิของตนและของผู้อื่น
                สำหรับ เรื่อง ผู้บริโภคกับบริการด้านโทรคมนาคม  ส่วนใหญ่ประชาชนชาวพะเยาที่เข้าร่วมสัมมนามักจะมีปัญหาเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย ที่ไม่เป็นธรรมในการใช้บริการของโทรศัพท์ทั้งโทรศัพท์พื้นฐานและโทรศัพท์มือ ถือ โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือ มีค่าใช้จ่ายที่ไม่เป็นธรรมหลายๆ อย่าง เช่น การสมัคร SMS ง่าย แต่ยกเลิกยาก ,  มีการหักเงินหรือเรียกค่าใช้จ่ายเกินจริงหรือจำนวนที่ใช้จริง ฯลฯ
                ฉะนั้น พวกเราในฐานะผู้ใช้บริการ ขอให้ช่วยกันเรียกร้องความยุติธรรมเกี่ยวกับการใช้บริการ อย่าให้บริษัทหรือเจ้าของกิจการเอาเปรียบได้
              

เด็กนอกระบบ

เด็กนอกระบบ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
                เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2553 กระผมได้มีโอกาสไปร่วมเป็นวิทยากรร่วมงานเสวนา “ พลังรักพลังอำนาจของเยาวชนในเทศบาลแม่กาเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น ” จัดโดย เทศบาลแม่กา สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ(สสส.)และสำนักงานส่งเสริมสังคม แห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน(สสค.)
                โดยในเวทีได้พูดถึงเรื่องประเด็น เด็กนอกระบบ สถานการณ์ในปัจจุบันของเด็กนอกระบบตำบลแม่กา จังหวัดพะเยา และ วิธีการแก้ไขปัญหาเด็กนอกระบบ ซึ่งมีตัวแทนจาก ภาคศาสนา(พระสงฆ์) , ภาควิชาการ(กระผม),ภาคการศึกษานอกโรงเรียนและตัวแทนเทศบาลแม่กา
                ถ้าพูดถึง เด็กนอกระบบ หมายถึง เด็กที่ไม่มีโอกาสได้เรียนในระบบการศึกษา (โดยปัจจุบันมีเด็กนอกระบบ ที่ออกจากระบบการศึกษาในระดับประถมศึกษา(สูงสุด)และเด็กนอกระบบที่ออกจาก ระบบการศึกษาในระบบ ระบบมัธยมศึกษา(รองลงมา) ถึงแม้ทางรัฐบาลได้ออกกฏหมายบังคับให้เด็กเรียน 15 ปี ในระบบก็ตาม แต่ความเป็นจริง แต่ละโรงเรียนก็มีการถูกประเมินการศึกษาจากหน่วยงานต่างๆ เช่น สมศ.  จึงทำให้แต่ละโรงเรียนต้องสร้างเด็กให้ได้มาตรฐาน ทั้งเป็นคนดีและเป็นคนเก่ง จึงทำให้เด็กที่มีคุณภาพต่ำกว่าจากมาตรฐานหลุดออกจากการศึกษาในระบบที่ละคน สองคน ซึ่งเด็กกลุ่มนี้เป็นเด็กที่น่าสงสารเนื่องจาก เป็นเด็กที่เรียนไม่เก่ง หัวไม่ดี มีปัญหาครอบครัว เป็นเด็กยากจน มีปัญหา ขาดคนเข้าใจ
                เมื่อเด็กกลุ่มดังกล่าวหลุดออกจากระบบการศึกษาก็ทำให้เด็กดำเนินชีวิตตาม ยถากรรม ขณะที่เพื่อนเรียนในระบบ ใช้เวลาอยู่ในระบบ แต่เด็กกลุ่มนี้ ต้องอยู่ที่บ้าน อยู่ตามร้านเกมส์ อยู่ตามสถานบันเทิงต่างๆ แล้วเด็กกลุ่มดังกล่าวก็จะก่อปัญหาแก่สังคมต่อๆไป ไม่ว่า ก่อปัญหายาเสพติด ก่อปัญหาอาชญากรรม ก่อปัญหาการทำร้ายร่างกายกัน ปัญหาลักจี้ชิงปล้น และปัญหาอื่นๆ
                สำหรับแนวทางในการแก้ไขปัญหาเด็กนอกระบบ เราจะทำอย่างไร กระผมขอตอบแบบกำปั้นทุบดินว่า เราก็คงต้องเอา เด็กนอกระบบ กลับเข้าสู่ระบบ เสีย แต่ถ้าเป็นระบบในปัจจุบัน กลุ่มเด็กนอกระบบดังกล่าวคงไม่สามารถเข้าไปสู่ในระบบได้ เนื่องจากโรงเรียนแต่ละแห่งคงไม่อยากรับ เราคงต้องหาระบบที่มีมาตราฐานต่ำกว่าการศึกษาในระบบ เช่น ระบบการศึกษานอกโรงเรียน(กศน.) หรือ การออกแบบกิจกรรมต่างๆ ของหน่วยงานหรือองค์กรพัฒนาเอกชน(NGO) ต่างๆ ที่ต้องออกแบบกิจกรรมหลักสูตรเพื่อรองรับ เด็กนอกระบบ ดังกล่าว เช่น หลักสูตรประกอบอาชีพเพื่อให้เด็กนอกระบบมีอาชีพในการทำงานได้ในอนาคต
                ด้าน วัดหรือสถานปฏิบัติธรรมก็ช่วย เด็กกลุ่มนี้ได้ระดับหนึ่ง แต่คงต้องมีการปรับเปลี่ยนกิจกรรมในการสอนหรืออบรม (ขนาดเด็กในระบบบางส่วนยังไม่ค่อยชอบในการอบรมของวัดบางแห่งซึ่งการอบรมไม่ เร้าใจและไม่สร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ในเด็กกลุ่มนี้)
                สรุป ปัญหาเด็กนอกระบบ คงต้องหาเจ้าภาพดูแล เจ้าภาพที่ควรดูแลมากที่สุด คงต้องเป็นรัฐบาล แต่เราจะไปหวังอะไรมากจากรัฐบาลไม่ได้ เนื่องจากรัฐบาลแต่ละชุดมีปัญหาในระดับประเทศต้องแก้ไขมากมาย ดังนั้นจึงคงต้องเป็นหน้าที่ของหน่วยงานท้องถิ่นที่ต้องสัมผัสกับเด็กนอก ระบบในพื้นที่ หน่วยงานท้องถิ่น เช่น เทศบาล , อบต. , อบจ. ฯลฯ  ซึ่งสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) คงมีแนวความคิดนี้เช่นกัน จึงได้ให้ทุนองค์กรส่วนท้องถิ่นหรือหาความร่วมมือโดยการจัดทำโครงการเพื่อ การแก้ไขปัญหาเด็กนอกระบบ
                   แต่การแก้ปัญหาเด็กนอกระบบไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เนื่องจาก ปัญหาดังกล่าวเปรียบเทียบแล้ว คงเหมือนเชือก 1 เส้น ที่มีปมหลายปม แก้ปมนี้ อาจจะต้องเจออีกปมหนึ่ง เนื่องจากปัญหาเด็กนอกระบบมีความซับซ้อน และเกี่ยวโยงกับปัญหาอื่นๆ ด้วย กล่าวคือ เกี่ยวกับปัญหาครอบครัว,เกี่ยวกับปัญหาบริโภคนิยม,เกี่ยวกับปัญหายาเสพติด, เกี่ยวกับปัญหาสังคม ฯลฯ
              
              
              

คอร์รัปชั่นภัยร้ายสังคมไทย

คอร์รัปชั่นภัยร้ายสังคมไทย
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
             ก็ผ่านไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับการประชุม ป.ป.ช.โลกครั้งที่ 14 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-13 พฤศจิกายน 2553 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ในการจัดงานครั้งนี้ประเทศไทยได้รับเป็นเจ้าภาพการประชุมนานาชาติ ภายใต้แนวคิดที่ว่า “ คืนความเชื่อมั่น : ทั่วโลกโปร่งใส สู้ภัยทุจริต ” 
                  โดยในวันแรกมี นายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประธานกรรมการ ป.ป.ช.และประธานสภาหอการค้า ลงนามแถลงการณ์ร่วมในการดำเนินการร่วมกันเพื่อแก้ปัญหาการทุจริตการจัดซื้อ จัดจ้างในภาครัฐ ต่อหน้าผู้มาประชุมเกือบ 1,000 คน อันได้แก่ 
                      ผู้นำโลก นักวิชาการและนักเคลื่อนไหวของกลุ่มพัฒนาองค์กรจาก 113 ประเทศ ความจริงถ้าพูดถึงเรื่องของการคอร์รัปชั่นในเมืองไทยนั้น มีมาช้านานแล้ว จนกระทั้งบางหน่วยงาน บางองค์กรและคนของหน่วยงาน รวมทั้งประชาชนบางส่วน ถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปเลยก็มี 
                       จนมีคนกล่าวว่าประเทศไทยติดอันดับต้นๆ ของประเทศที่ทุจริตคอร์รัปชั่นมากที่สุดในภูมิภาคและในโลก ดังผลสำรวจความคิดเห็นของ สำนักวิจัยเอแบคโพล เมื่อเดือนตุลาคม พบตัวเลขที่น่าตกใจว่าคนไทยเห็นว่ารัฐบาล “ โกงก็ไม่เป็นไร ” มีจำนวนเพิ่มขึ้น จากร้อยละ 63.2 เมื่อปี 2551 เพิ่มเป็นร้อยละ 76.1 ในปีนี้ 
                     ความจริงการทุจริตในเมืองไทยเกิดขึ้นจากคนสามกลุ่มใหญ่ๆ คือ ข้าราชการ นักการเมือง และนักธุรกิจ การทุจริตที่เห็นได้ชัดเจนเพราะมีผลประโยชน์มาก ส่วนใหญ่เป็นการโกงจากการก่อสร้างโครงการต่างๆ ของภาครัฐ เช่น ตึก อาคาร ถนน ฯลฯ 
                        ปีๆหนึ่งประชาชนผู้ที่ต้องเสียภาษี ต้องถูกโกงจากบุคคลสามฝ่ายไปปีละประมาณ 25,000-30,000 ล้านบาท อีกทั้งการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานรัฐบางแห่งมีการทุจริตได้เปอร์เซ็นต์ จากการจัดซื้อจัดจ้าง ตามที่พวกเราคงได้เห็นกันตามสื่อต่างๆ 
                        ถามว่าถ้าหากพวกเราสามารถแก้ไขปัญหาเงินที่ถูกโกงไปได้ เราก็สามารถใช้เงินเหล่านี้ไปพัฒนาประเทศชาติได้มากยิ่งขึ้น เช่น เราสามารถสร้าง โรงพยาบาลเพิ่มขึ้น เราสามารถจ้างแรงงานเพิ่มมากขึ้น เราสามารถสร้างโรงเรียน หรือให้การศึกษาแก่เด็กและเยาวชนของเราได้อีกมากมาย ถามว่าเราสามารถจะแก้ปัญหาการคอร์รัปชั่นในประเทศได้ไหม ในความคิดเห็นของกระผมแก้ได้ ถ้าหาก รัฐบาลหรือผู้บริหารประเทศเอาจริงเอาจังในเรื่องดังกล่าว 
                           อีกทั้งบทลงโทษทางกฎหมายต้องมีความรุนแรง และมีผลบังคับกันอย่างจริงจัง อีกทั้งรัฐบาลต้องสร้างจิตสำนึกแก่ ข้าราชการ นักธุรกิจและนักการเมือง ไปพร้อมๆกัน แต่หากดูจากสถานการณ์ในปัจจุบันแล้ว รัฐบาลชุดนี้ ยังมีข่าวเรื่องของคอร์รัปชั่นตามสื่อต่างๆ อีกทั้งมีบุคคลหลายฝ่ายออกมาพูดถึงเรื่องของการคอร์รัปชั่นของรัฐบาลกันอยู่ 
                                ซึ่งตามความเป็นจริงบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคอร์รัปชั่นก็คือ คนที่มีอำนาจในบ้านเมืองนั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองในตำแหน่งสำคัญทางการเมือง นักธุรกิจระดับประเทศที่มักจะมีข่าวเรื่องของผลประโยชน์ต่างๆ จากนโยบายของภาครัฐ ข้าราชการหรือนักบริหารในภาครัฐ ที่คุมค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อจัดจ้างต่างๆ
                         ผมเองได้มีโอกาสอ่านหนังสือพิมพ์ เจอเด็กหญิงดวงดี แซ่ลี้ หรือ น้องหนิง ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่า “หนูเริ่มทำความดีจากการให้เพื่อนยืมของ เช่น ดินสอ ยางลบ ไม่พูดโกหกและยังช่วยเก็บขยะที่มีคนทิ้งเรี่ยราดในบริเวณโรงเรียน สิ่งที่คุณครูสอนและความรู้ที่ได้ทำกิจกรรมทำให้เรานำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ได้
                        มีครั้งหนึ่งคุณครูเคยทดสอบพวกหนูด้วยการทำกระเป๋าเงินหล่นหาย แล้วหนูก็เก็บไปคืนและประกาศหาเจ้าของจนเจอ ทำให้ได้รับคำชมและรู้สึกดีใจที่ได้ทำความดี ” จากข้อความข้างต้น ที่เด็กหญิงดวงดี แซ่ลี้หรือน้องหนิง ได้กล่าว ผมรู้สึกอายแทนผู้ใหญ่ในบ้านเมืองบางคนได้ร่วมมือกันเพื่อโกงกินเงินของภาค รัฐ ถามว่าจิตสำนึกของตนอยู่ไหน หากเปรียบเทียบกับเด็กหญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง หรือว่าประเทศชาติ บ้านเมืองเรา มีการบังคับใช้กฎหมายหรือการปฏิบัติ 
                   สองมาตรฐานจริง ข่าวการที่ชาวบ้านบุกรุกที่ทำกินหรือแม่ลูกอ่อนขโมยนมเพื่อเลี้ยงลูกต้องถูก จับถูกลงโทษ แต่ในทางกลับกันบุคคลที่มีอำนาจ ร่ำรวยกับไม่ถูกลงโทษ ทั้งๆที่บุคคลที่มีอำนาจบางคนบุกรุกป่า บุกรุกภูเขา โกงกินคอร์รัปชั่นแต่ยังสามารถยิ้มแย้มแจ่มใสและได้รับการเคารพนับถือจากผู้ คนในสังคม

ยกระดับบริการและความปลอดภัยรถโดยสารสาธารณะ

ยกระดับบริการและความปลอดภัยรถโดยสารสาธารณะ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
http://www.drsuthichai.com/
                เมื่อวันที่ 15-16 พฤศจิกายน 2553 กระผมได้มีโอกาสเข้าร่วมเวทีสัมมนารับฟังความคิดเห็นเพื่อยกระดับบริการและ ความปลอดภัยรถโดยสารสาธารณะ ณ ห้องประชุมเวียงพนา โรงแรมลำปางเวียงทอง อ.เมือง จ.ลำปาง จัดโดยมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค(มพบ.)ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้าง เสริมสุขภาพ(สสส.) โดยจัดทั้งหมด 5 ภูมิภาค ได้แก่ ภาคกลางและตะวันออก   ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันตก และภาคใต้
                สำหรับเวทีที่กระผมเข้าร่วมเป็นเวทีที่จัดในส่วนของภาคเหนือ มีผู้เข้าร่วมเป็นนักวิชาการ หน่วยงานด้านคุ้มครองผู้บริโภคทั้งภาครัฐและเอกชน สื่อมวลชน เครือข่ายผู้บริโภคและประชาชนใน 8 จังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือ
                ในวันแรก ได้มีภาคบรรยายและการแสดงความคิดเห็นในที่ประชุม ในเรื่อง “ สถานการณ์ความไม่ปลอดภัยของรถโดยสารสาธารณะและเกร็ดความรู้ของกระบวนการสืบ สวนสอบสวนอุบัติเหตุที่ควรรู้”  โดย ผศ.ดร.สมประสงค์ สัตยมัลลี และ การนำเสนอข้อมูลโครงสร้างรูปแบบการประกอบการโดยสารสาธารณะของประเทศไทย โดย ดร.สุเมธ องกิตติกุล สำหรับวันที่สอง ทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องบริการและสถาการณ์ความไม่ปลอดภัยของรถโดยสาร สาธารณะ โดยนายอิฐบุรณ์ อ้นวงษา และ นางสาวสวนีย์ ฉ่ำเฉลี่ยว
                จากเวทีดังกล่าวทำให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้รับข้อมูลต่างๆ มากขึ้นอีกทั้งผู้เข้าร่วมได้เสนอความคิดเห็นเพื่อเติมเต็มในเรื่องดังกล่าว ข้างต้น
                สำหรับความคิดเห็นของกระผมคิดว่าเรื่องของการบริการและความปลอดภัยรถโดยสาร สาธารณะถ้าเทียบจากอดีตกระผมคิดว่ามีการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น และถ้าเทียบกับหลายประเทศในประเทศเพื่อนบ้านเราดีกว่าหลายประเทศ แต่ถ้าหากเทียบกับประเทศที่เจริญแล้ว ยังอเมริกา ฝรั่งเศส อังกฤษ ประเทศไทยของเราก็คงเทียบในเรื่องการบริการและความปลอดภัยรถโดยสารสาธารณะ นั้นคงยาก
                ด้านอุบัติเหตุที่ปรากฏเป็นข่าว เมื่อเดือนมีนาคม 52 – กรกฏาคม 53 (1 ปี 4 เดือน) ในรถประเภทต่างๆ อุบัติเหตุจำนวน 260 ครั้ง จำนวนผู้ประสบภัย 2,139 คน บาดเจ็บ 1,988 คน เสียชีวิต 151 คน กระผมคิดว่าเป็นความสูญเสียที่เกิดขึ้นซ้ำซาก ซึ่งอุบัติเหตุดังกล่าวมีปัจจัยมาจาก คนขับรถโดยสาร สภาพรถโดยสารที่ไม่มั่นคงปลอดภัย(ล้อรถไม่มีดอกยาง รถมีการดัดแปลง มีความไม่แข็งแรง) สภาพถนนต่างๆ ที่ไม่ได้มาตรฐาน ฯลฯ
                ซึ่งเป็นที่น่าเสียใจเนื่องจากการสูญเสียหรือความเสียหายที่เกิดขึ้นทำให้ เกิดการเสียค่าใช้จ่ายไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล ค่าปลงศพ , ภาระค่ารักษาที่มากกว่าเงินประกันภัยที่ได้รับ , การเสียโอกาสในการเดินทางและการทำงานในอนาคต และ สภาพจิตใจที่ต้องใช้เวลาฟื้นฟู
                สำหรับเรื่องของสภาพรถโดยสาร บางคัน ผมเคยเห็นบางคัน ไม่น่าจะมาเป็นรถโดยสารได้ เนื่องจากสภาพรถที่ไม่มั่นคงปลอดภัย แต่ก็มีรถหลายคันยังสามารถขับขี่บนท้องถนนได้ ถึงแม้จะมีการตรวจสภาพจากหน่วยงานที่รับผิดชอบมาแล้วก็ตาม กระผมก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด
                ด้านสถานีขนส่งหลายจังหวัดมีสภาพคล้ายคลึงกัน กล่าวคือ สภาพห้องน้ำที่มีกลิ่นเหม็น แถมบางแห่งยังมีการเก็บค่าเข้าห้องน้ำอีกต่างหาก  สภาพถนนที่มีสภาพที่ไม่ได้มาตรฐาน  ฯลฯ
                ส่วนบริษัทประกันภัย ก็ได้เสนอจ่ายเงินค่าชดเชยหรือผลของการเยียวยา จำนวนน้อยกว่าค่าใช้จ่ายจริงในการเกิดอุบัติเหตุ จนต้องมีการฟ้องร้องและไกล่เกลี่ยเจรจากัน หลังฟ้อง เช่น กรณีนางสาวคนหนึ่ง ได้รับบาดเจ็บใบหน้าฟกช้ำ เลือดคั่งในสมอง บริษัทประกันภัยได้เสนอจ่าย 4,700 บาท ตกลงกันไม่ได้กับผู้เสียหาย จึงฟ้องร้องในขั้นเจรจาไกล่เกลี่ยหลังฟ้องเป็นคดีได้รับเงิน 50,000 บาท
                สุดท้ายนี้ กระผมขอฝากท่านผู้อ่านในเรื่อง สิทธิของผู้ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ 10 ประการ ตามสิทธิตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภคฯ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ดังนี้
1.สิทธิที่จะได้รับข้อมูลข่าวสารรวมทั้งคำพรรณนาคุณภาพเกี่ยวกับบริการรถ โดยสาร รวมทั้งความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัย ที่ถูกต้องเป็นจริงครบถ้วน เพียงพอต่อการตัดสินใจใช้บริการ
2.ผู้โดยสารมีสิทธิที่จะได้รับความเป็นธรรมในด้านสัญญา และราคาค่าบริการ
3.ผู้โดยสารมีอิสระในการเลือกใช้บริการด้วยความสมัครใจ และปราศจากการชักจูงใจอันไม่เป็นธรรม
4.สิทธิที่จะได้รับความปลอดภัยในทุกๆ ด้านจากการใช้บริการรถโดยสาร
5.สิทธิที่จะได้รับการบริการจากรถโดยสารและผู้ให้บริการที่มีคุณภาพมาตรฐาน
6.สิทธิในการร้องเรียนหรือฟ้องร้องเพื่อให้ผู้ให้บริการหรือหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขปัญหา เยียวยา หรือชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้น
7.สิทธิที่จะได้รับการชดใช้ความเสียหายจากการประกันภัยโดยไม่มีการประวิงเวลา หรือบังคับให้ประนีประนอมยอมความ
8.สิทธิที่จะได้รับการชดใช้ความเสียหายทั้งทางร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สินและสิทธิอื่นๆ ที่ถูกละเมิด
9.สิทธิที่จะได้รับการชดใช้ความเสียหายด้วยหลักแห่งพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด
10.สิทธิที่จะรวมตัวกันเพื่อพิทักษ์สิทธิของตนและของผู้อื่น

ขยะเป็นทอง

ขยะเป็นทอง
รักษาสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนขยะให้เป็นทอง
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
                      เมื่อพูดถึงคำว่า “ ขยะ ” มักเป็นสิ่งที่ผู้คนไม่คอยชอบกันและถูกมองในทางลบ เพราะถ้าพื้นที่ไหนมีขยะมากๆ พื้นที่นั้นมักจะมีปัญหามากตามมา ดังเช่น ขยะ เป็นปัญหาใหญ่อันดับหนึ่ง ในกรุงเทพมหานคร จากข้อมูลมีปริมาณขยะสูงถึง 8.5 พันตันต่อวัน หากคิดเฉลี่ยเป็นรายบุคคลแล้ว 1 คนจะก่อให้เกิดขยะในปริมาณ 0.8 - 1 กิโลกรัมต่อวัน
               จึงเป็นภาระหนักของ กทม. ในการกำจัดขยะเหล่านั้น ปริมาณขยะที่เกิดขึ้นมากมายนี่เองส่งผลให้มีขยะตกค้างเป็นจำนวนมากในแต่ละ วันส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสภาพความเป็นอยู่ในสังคมมากมาย ได้แก่
                  - บ้านเมืองสกปรกไม่น่ามอง เสียทัศนียภาพ ส่งกลิ่นเหม็นรบกวน
                 - เป็นแหล่งเพราะพันธุ์สัตว์และพาหนะนำโรคต่าง ๆ เช่น หนู แมลงสาบ แมลงวัน ทั้งยังเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคโดยตรง เช่น อหิวาตกโรค อุจจาระร่วง บิด โรคผิวหนัง บาดทะยัก โรคทางเดินหายใจ เป็น 
              - ทำให้เกิดการปนเปื้อนของสารพิษ เช่น ตะกั่ว ปรอท ลงสู่พื้นดิน และแหล่งน้ำ - ทำให้แหล่งน้ำเน่าเสีย - ท่อระบายน้ำอุดตัน อันเป็นสาเหตุของปัญหาน้ำท่วม - เป็นแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศ เช่น ฝุ่นละออง เขม่า ควัน จากการเผาขยะ และเกิด ก๊าชมีเทนจากการฝังกลบขยะ
              - ขยะบางชนิดไม่ย่อยสลาย และกำจัดได้ยาก เช่น โฟม พลาสติก ทำให้ตกค้างสู่สิ่งแวดล้อม ( ข้อมูล จาก http://www.bu.ac.th/hotnews/iso/isomain3.html) แต่ในดีมีเสีย ในเสียมีดี
            ถ้าเรารู้จักเปลี่ยนขยะมาเป็นรายได้ ก็จะทำให้พื้นที่นั้น ชุมชนนั้น มีสภาพเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ดังจะเห็นได้จากหลายหน่วยงานในปัจจุบันที่แปรเปลี่ยนขยะมาเป็นทองหรือรายได้ บางแห่งตั้งเป็นธนาคารขยะ บางแห่งตั้งเป็นศูนย์เรียนรู้การกำจัดขยะ ฯลฯ การคัดแยกขยะก่อนทิ้ง การรีไซเคิลขยะ ถ้าทำกันอย่างจริงจังแล้ว
         เราสามารถสร้างรายได้อย่างมหาศาลเลยที่เดียว เช่น พลาสติก ขวดแก้ว กระป๋องเครื่องดื่ม เศษเหล็ก เศษสังกะสี เศษกระดาษ เศษแก้ว ฯลฯ จนบางแห่งสามารถทำเป็นรูปธุรกิจ แล้วขายแฟรนไชส์ได้อีกด้วย ดังเช่น แฟรนไชส์ วงษ์พาณิชย์ ส่วนที่เหลือ ยังสามารถทำเป็นปุ๋ยหมักจากขยะอินทรีย์อีกด้วย
             ดังจะเห็นได้จากข้อมูล นายเกษม ทองปาน รองอธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมพัฒนาที่ดินจัดกิจกรรมรณรงค์การจัดการวัสดุเหลือใช้ผลิตปุ๋ย อินทรีย์ เพื่อลดการใช้ปุ๋ยเคมีในโครงการแปลงขยะเป็นทอง ด้วยการนำขยะหรือเศษอาหาร วัสดุเหลือใช้ในครัวเรือนและภาคเกษตรมาแปรรูปเป็นปุ๋ยหมัก ปุ๋ยอินทรีย์ สารบำบัดน้ำเสียและขจัดกลิ่นเหม็น
           โดยนำร่องใน 4 จังหวัด คือ เชียงใหม่ อุบลราชธานี กรุงเทพฯ และปริมณฑล ( นสพ.แนวหน้า 6 มิย.51) และที่สำคัญ ขยะยังเปลี่ยนเป็นกระแสไฟฟ้าได้อีกด้วย จากการที่บริษัท Biffa ประเทศเบลเยี่ยม ซึ่งอยู่ในเครือของบริษัทอังกฤษ ได้ทดลองผลิตกระแสไฟฟ้าจากก๊าซที่เกิดจากการย่อยสลายของขยะได้สำเร็จ
            นี่คือประโยชน์ของ ขยะ สิ่งปฏิกูล ซึ่งไม่เป็นที่ต้องการของใครๆ และทุกคนรังเกียจมัน กำลังเป็นปัญหาก่อความเดือดร้อนให้กับชาวกรุงเทพ และชาวเมืองอุตสาหกรรมในขณะนี้ แต่ถ้าเรานำไปใช้ให้ถูกทางมันก็จะกลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง

นายผู้ทารุณ

นายผู้ทารุณ
สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
                เมื่อ วันก่อนกระผมได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง ซึ่งเป็นจดหมายที่กระผมไม่อยากได้รับ เพราะเป็นจดหมายขอบสีดำ เมื่อเปิดออกดูจึงรู้ว่าเป็นจดหมายเชิญให้ไปร่วมงานศพ ของน้าชายซึ่งเป็นที่รักและเคารพของกระผม
                น้าชายคนนี้ตายก่อนวัยอันควรด้วยโรคมะเร็งในปอด ซึ่งเป็นผลเกิดจาก บุหรี่ หรือ นายผู้ทารุณ นั่นเอง
          บุหรี่ มีลักษณะเป็นทรงกระบอกม้วนห่อด้วยกระดาษ (ขนาดปกติจะมีความยาวสั้นกว่า 120 มิลลิเมตร และ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 10 มิลลิเมตร) มีใบยาสูบบด หรือซอยบรรจุภายในห่อกระดาษ ปลายด้านหนึ่งเป็นปลายเปิดสำหรับจุดไฟ และอีกด้านหนึ่งจะมีตัวกรอง ไว้สำหรับใช้ปากสูดควัน คำนี้ปกติจะใช้หมายถึงเฉพาะที่บรรจุใบยาสูบภายใน แต่ในบางครั้งก็อาจใช้หมายถึงมวนกระดาษที่บรรจุสมุนไพรอื่น ๆ เช่น กัญชา (en:marijuana) (  อ้างอิงจาก วิกีพีเดีย สารานุกรมเสรี)
                บุหรี่ ต่างจาก ซิการ์ (en:cigar) ตรงที่บุหรี่นั้นมีขนาดเล็กว่า และใบยาสูบนั้นจะมีการบดหรือซอย รวมทั้งกระดาษที่ห่อ ซิการ์โดยปกติจะใช้ใบยาสูบทั้งใบ ซิการ์ชนิดที่มีขนาดเล็กพิเศษเท่าบุหรี่ เรียกว่า ซิการ์ริลโล (en:cigarillo) บุหรี่เป็นที่รู้จักในกลุ่มคนที่ใช้ภาษาอังกฤษตั้งแต่ก่อนสงครามแห่งครายเมีย เมื่อทหารแห่งจักรวรรดิอังกฤษ เริ่มเลียนแบบการใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ห่อใบยาสูบ จากทหารตุรกีแห่งอาณาจักรออตโตมัน
(  อ้างอิงจาก วิกีพีเดีย สารานุกรมเสรี)
                ท่านผู้อ่านครับ ทำไมผมถึงเรียกบุหรี่ว่า นายผู้ทารุณ ก็ เพราะมันฆ่าคนไทยไปปีหนึ่ง หลายหมื่นคน ทำลายทรัพย์สินปีละหลายหมื่นล้านบาท ในบุหรี่มีสารพิษมากมาย ซึ่งวงการแพทย์ได้ระบุว่ามีมากถึง 1,350 ชนิด แต่ละอย่างสร้างพิษภัยให้กับผู้สูบอย่างมหันต์ เช่น ไนโครชามีน ทำให้เกิดโรคมะเร็งในปอด อัลคาร์ลอยนิโคติน ทำให้หลอดเลือดตีบ ฯลฯ
                นอก จากนั้นยังบั่นทอนสุขภาพโดยตรงแล้ว มันยังสามารถทำให้ท่านตายเร็วขึ้น ในแต่ละมวนจะเพิ่มความตายให้ท่านถึง 6 นาที คนสูบบุหรี่วันละ 1 ซอง หรือ 20 มวน จึงต้องอายุสั้นลงอีก 10 ปี ยังไม่นับถึงเรื่องของบุคลิก หน้าซีดเซียว  ริมฝีปากเขียวคล้ำ ตาเหลือง นิ้วมือเหลือง เหม็นกลิ่นบุหรี่ติดตัว
                เรื่อง การสูญเสียเงินทองไม่ต้องพูดถึง ขณะนี้ราคาบุหรี่เฉลี่ยซองละ 50 บาท หากสูบวันละ 1 ซอง ปีหนึ่งจะเผาผลาญเงินไปถึง 18,250 บาท 10 ปี เท่ากับ 182,500 บาท ถ้าหากท่านหยุดสูญวันนี้แล้วเก็บเงินไปฝากธนาคารหรือซื้อพันธบัตรรัฐบาล ภายใน 6 ปี ท่านจะได้ดอกเบี้ยทบต้นกลายเป็น 100 %  ( 1 แสน เป็น 2 แสนบาท)
                ท่านผู้อ่านครับ .... ขอให้ท่านที่สูบบุหรี่เลิกสูบตั้งแต่วันนี้ ขับไล่ นายผู้ทารุณ ออก ไปจากชีวิตของท่าน โดยวิธีการคือ ขยี้บุหรี่ในมือของท่านทิ้งไป(ไม่พกบุหรี่ติดตัว) ทิ้งไฟแช็คของท่านทิ้งไป (ทิ้งอุปกรณ์การสูบบุหรี่ทั้งหมด) ไม่เข้าใกล้คนที่กำลังสูบบุหรี่ เบี่ยงเบนความสนใจถ้าอยากสูบบุหร่ขึ้นมา(อาบน้ำ เล่นกีฬา)  เสริม กำลังใจให้ตนเอง เช่น ทบทวนผลเสียของการสูบบุหรี่ บอกคนข้างเคียงว่ากำลังเลิกบุหรี่ เก็บเงินใส่ในออกสิน ให้รางวัลตนเองถ้าเลิกบุหรี่ได้ คิดถึงคนที่ท่านรัก กำหนดจิตใจให้เข้มแข็งหนักแน่น ภายใน 1 อาทิตย์
                ท่าน จะรู้สึกสดชื่นกับชีวิตใหม่ ที่สำคัญท่านยังประหยัดเงินให้ลูกหลานได้กินขนม แทนที่จะซื้อหาบุหรี่มาฆ่าตัวตายแบบผ่อนส่งอย่างเช่นทุกวัน

ทุจริต ความปลอดภัย อันตรายจากสื่อ

ทุจริต ความปลอดภัย อันตรายจากสื่อ ปัญหามากมายในสังคมไทย


สุทธิชัย ปัญญโรจน์
ม.นเรศวร พะเยา
www.drsuthichai.com
ทุจริต ความปลอดภัย อันตรายจากสื่อ ปัญหามากมายในสังคมไทย
แฉปั้นนศ.ผี ถลุงงบหลวง เล่ห์ศูนย์การเรียนรู้ 100 คน สอบจริง 20 คน
น้ำมันพืชพิษ กินเป็นมะเร็ง ขายเกลื่อนภาคใต้ ใส่กรดเหมือนใหม่
ไฮไฟว์ ฉาวอีก “ สวิง “ โจ๋งครึ่ม ใช้เป็นแหล่งนัด โชว์รูปลามกหรา
                เป็น หัวข้อข่าวที่พาดหน้าหนังสือพิมพ์ รายวันอยู่ในขณะนี้ เราจะเห็นได้ว่า สังคมไทยในปัจจุบันมีปัญหามากมายที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัญหาทุจริต  ปัญหาเรื่องความปลอดภัย อันตรายจากการใช้สื่อ ฯลฯ
                อาจ จะเป็นได้ว่า สื่อมวลชนไทยต้องการขายข่าวจึง ต้องเสนอข่าวที่ตรงกับความต้องการของคนอ่าน เพราะฉะนั้น สื่อส่วนใหญ่จึงเสนอข่าวที่ร้ายมากกว่าข่าวดีๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมไทย จนเป็นที่ได้ยินกันหนาหูว่า “ ข่าวร้ายลงฟรี  ข่าวดีเสียเงิน “  เป็นคำพูดที่พูดกันมากในสังคมไทยในปัจจุบัน
                แต่ทั้งนี้ การเสนอข่าวก็ต้องเป็นข่าวที่เกิดขึ้นจริง  ทำให้เราได้รู้ว่า สังคมไทยในปัจจุบัน นับวันยิ่งไม่มีความปลอดภัย มีอันตรายทุกหนแห่ง
            เช่น ข่าวการถลุงงบหลวง เล่ห์ศูนย์การเรียนรู้  ความจริงไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในสังคมไทยเรา ที่เกิดขึ้นหลายองค์กร โดยเฉพาะ องค์กรในระบบราชการไทยเรา  เราคงเคยได้ยิน คำว่า
การจัดซื้อจัดจ้าง ผู้อนุมัติจะได้เปอร์เซ็นต์ เสมอ   ไม่ว่าจะเป็นการอนุมัติ สร้างตึก สร้างถนน ซื้ออุปกรณ์สำนักงาน ซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ จึงทำให้ผู้มีอำนาจอนุมัติ รวยแบบเงียบๆ  บาง คนถึงกับรวยแบบดังๆ ก็มีให้เห็นกันในสังคมไทย แต่ถามว่ากระบวนการตรวจสอบได้ผลไหมครับ ทำไมคนที่อยู่ในกระบวนการตรวจสอบ บางคนถึงกับรวยขึ้นแบบฉับพลัน  ฉะนั้น เป็นสิ่งที่สังคมไทยเราจะต้องกันช่วยกันหาคำตอบ
                ข่าว น้ำมันพืชพิษ เกิดขึ้นในภาคใต้ โดยการนำกรดผสมน้ำมันพืชใช้แล้ว ทำให้สภาพดูเหมือนของใหม่นำมาขายต่อ ทำให้ผู้บริโภคที่ทานไปก็จะทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย อีกหน่อยก็คงขึ้นมาขายทั่วประเทศ เราคงได้กินน้ำมันพืชพิษ เนื่องจาก ผู้ผลิต ไม่ว่าจะเป็น แผงลอย ห้างสรรพสินค้า ตลาดสด ฯลฯ อาจจะนำน้ำมันพืชพวกนี้มาขาย เพราะมันถูกกว่าน้ำมันพืชของใหม่เป็นเท่าตัว
                ข่าว การใช้สื่ออินเตอร์เน็ต นับวันจะมีปัญหาทวีความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจาก การควบคุมดูแลเป็นไปได้ยาก ล่าสุด เรื่อง ไฮไฟว์ฉาว มีการนำเสนอ ภาพลามก มีการนัดกันไปมีเพศสัมพันธ์ต่างๆ จนมีสมาชิกนับพันคน ให้ความสนใจในเรื่องการมีเพศสัมพันธ์นี้  นี่ยังไม่ นับ การเสนอเนื้อหาที่จ่อทำลายชื่อเสียงของบุคคลอื่นในสื่ออินเตอร์เน็ตนี้ ดังนั้น จึงขอให้ตำรวจ-เจ้าของเว็บไซต์ต่างๆ ร่วมกันตรวจสอบอย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้สื่อเหล่านี้มาทำลายเด็กและเยาวชน ซึ่ง เด็กและเยาวชน มีโอกาสที่จะถูกชักนำได้ง่ายๆ
                จาก การตั้งข้อสังเกตของกระผม เราจะเห็นว่า ปัญหาในสังคมไทย ในปัจจุบัน มีมากมาย เมื่อเทียบกับปัญหาในอดีต ถ้าท่านผู้อ่านลองไปเปิดหนังสือพิมพ์รายวันในอดีตก็พอที่จะเห็นได้  ปัญหาในสังคมไทยปัจจุบัน นับวันยิ่งซับซ้อน
มีความยุ่งยากในการแก้ไขมากขึ้น เหมือนเชือกที่มีปมอยู่หลายปม แก้ปมหนึ่งก็จะเกิดปมใหม่ตามมา และถ้าแก้ไขช้า
ก็จะเกิดปัญหาใหม่ตามมาเช่นกัน
                ดัง นั้นพวกเราทุกคนในสังคมไทยต้องช่วยกัน เช่น รัฐบาล องค์กรต่างๆ จำเป็นจะต้องปรับตัว มองปัญหาเป็นระบบมากขึ้น ไม่แก้จุดใดจุดหนึ่งแล้วทำให้เกิดปัญหาอื่นตามมาก  ครอบครัวจะต้องช่วยกัน อบรมสั่งสอน ลูกหลานให้รู้จักปัญหา รู้จักวิธีแก้ปัญหา เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นกับตน  สถาบันการศึกษา ต้องช่วยกันอบรม ให้ความรู้ ในเชิงคุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม มากขึ้นเด็กและเยาวชน  สื่อต้องนำเสนอข่าวที่สร้างสรรค์มากขึ้น หาแบบอย่างที่ดีมากขึ้น เพื่อให้เด็กและเยาวชน เอาไปเป็นแบบอย่าง


พ่อแม่ รังแกฉัน

พ่อแม่ รังแกฉัน
โดย....สุทธิชัย ปัญญโรจน์(โทนี่)
www.drsuthichai.com
อันชนกชนนีนี้รักเจ้า  เทียมเท่าชีวาก็ว่าได้
            เมื่อ สมัยเด็กๆ เมื่อตอนที่กระผมกำลังเรียนอยู่ในโรงเรียน กระผมได้มีโอกาสได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งมีเนื้อหาที่ดีและให้แง่คิดมาก กระผมคิดว่าคนรุ่นวัย 20 ปี ขึ้นไป  หลายคนคงได้อ่านเช่นกัน หนังสือเล่มนั้นก็คือ หนังสือเรื่อง “ พ่อแม่ รังแกฉัน “ เนื้อ เรื่อง เท่าที่จำได้ พอสรุปได้ว่า เป็นเรื่องราวความรักของพ่อแม่ที่ผิดพลาดโดยการ “ ตามใจ” เรื่องมีอยู่ว่าพ่อแม่ เป็นเศรษฐี รักลูกมากๆ  มีอะไรก็หามาให้ ตามใจสารพัด ใครจะว่า กล่าวด่าลูกก็ไม่ได้  ลูก จะผิดจะถูกอย่างไรก็ไม่เคยเตือน สอนสั่ง เมื่อลูกไม่สนใจการเรียนก็ไม่เคยเตือน จนลูกเข้าสู่วัยรุ่น ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยไม่เคยห้าม คบเพื่อนไม่ดี พากันไปเที่ยว พากันไปกินเหล้า พากันเที่ยวไม่ยอมเรียนหนังสือ พ่อแม่ก็ไม่ว่า ตามใจทุกอย่าง จนเมื่อลูกโตใหญ่และพ่อแม่ก็แก่ตามไปด้วย ปรากฏลูกเศรษฐี เอาไม่รอด ความประพฤติชั่วช้า จนพ่อแม่ตายไปชีวิตที่ร่ำรวยเงินทองจากพ่อแม่ก็กลับเป็นยากลำบาก เพราะหาเลี้ยงตัวเองไม่ได้ในที่สุดต้องกลายเป็นขอทาน  ตอนเป็นขอทานกลับไม่สำนึก  โทษพ่อแม่ว่าเป็นความผิดที่ตามใจ(รังแกฉัน) จนกระทั่งได้พบกับซินแส ได้เล่าเรียนจนประกอบอาชีพได้
            นี่คือ ยาพิษของการเลี้ยงลูกด้วยการตามใจ
                หนังสือ เล่มนี้ สอนให้รู้ว่า พ่อแม่ ที่รักลูกมากเกินไป ตามใจเกินไป ใครว่ากล่าว สั่งสอนไม่ได้ ในที่สุด เมื่อลูกโตใหญ่ขึ้น ก็จะเป็นผู้ใหญ่ที่เอาตัวไม่รอด
            ฉะนั้น ความรักจึงเป็นเสมือนดาบสองคม ด้านหนึ่งถูกใช้ในการถากถางในการดำเนินชีวิตและอีกด้านหนึ่งก็อาจเป็นอาวุธ ที่ร้ายแรงคอยทิ่มแทงผู้ที่ใช้ความรักได้เช่นกัน
            และ ถ้าจะให้ดี ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการศึกษาก็ควรที่จะให้เด็กไทยรุ่นใหม่ได้มีโอกาส อ่าน วรรณกรรมประเภทเหล่านี้ให้มากๆ ในโรงเรียนถ้ากระผมจำไม่ผิด หนังสือเรื่อง “ พ่อแม่รังแกฉัน” น่าจะเป็นหนังสือคำประพันธ์บางเรื่องของ ท่านพระยาอุปกิตศิลปสาร
                ใน สังคมไทยเราปัจจุบันมีมากมาย ไม่ว่าเศรษฐี ไม่ว่าชาวไร่ชาวนา หาเช้ากินค่ำ ผู้หลักผู้ใหญ่บางคน ที่สอนลูกในลักษณะนี้ คือ ตามใจลูก ลูกผิดครูสั่งสอนก็ไม่ได้ ใครจะเตือนก็ไม่ได้ จึงทำให้เด็กเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่จึงมีนิสัย ที่ชั่วร้าย ไม่โต ควบคุมอารมณ์ของตนเองไม่ได้
            ในสังคมไทยเราปัจจุบันเราต้องยอมรับเลยว่า การเลี้ยงลูกในสมัยนี้ยากกว่าสมัยก่อน มาก เพราะ
สังคมปัจจุบันเรามีสิ่งเร้า สิ่งยั่วยุ สิ่งเสพติด สิ่งอบายมุข  การพนัน เกมส์ และรวมทั้งสื่อลามกอนาจารเป็นจำนวนมาก
            ดังนั้น วิธีการเลี้ยงดูลูกหลาน จึงต้องเปลี่ยนแปลงจากอดีต พ่อแม่ผู้ปกครองต้องดูแลให้เวลาลูกหลานเพิ่มมากขึ้น  มีศาสตร์และมีศิลป์ในการสอน และต้องมีวิธีการดูปัญหา แก้ปัญหา เป็นระบบ
ไม่ มองจุดเดียว เพราะปัญหาของเด็กและเยาวชนในปัจจุบัน ค่อนข้างเชื่อมโยงกัน เช่น ปัญหาเด็กติดเกมส์ก็มักจะทำให้เด็กเสียการเรียน ร้านเกมส์บางร้านอาจเป็นแหล่งมั่วสุม ซึ่งเป็นที่มาของการขายยาเสพติด การล่อลวงเด็กไปมีเพศสัมพันธ์ เมื่อเด็กต้องการเล่นเกมส์ ต้องการหาเงินไปซื้อยาเสพติด ก็จะเกิดปัญหาลักขโมยตามมา เด็กบางคนอาจมีปัญหามากจนเกิดอาการซึมเศร้า จนกระทั่งต้องฆ่าตัวตายก็มี และยังมีปัญหาที่เชื่อมโยงกับปัญหาเหล่านี้อีกมากมาย
                เรา จะเห็นได้ว่าปัญหาเด็กและเยาวชน เป็นปัญหาที่ใหญ่ และถ้ายังไม่ช่วยกันแก้ อนาคตของประเทศไทยเราก็คงต้องแย่ เพราะ เด็กและเยาวชนก็คืออนาคตของชาติ  (เด็กในวันนี้เป็นผู้ใหญ่ในวันหน้า)
ความรักความห่วงใย คือ สายใยของครอบครัว

สื่อสารมวลชนในอนาคต

สื่อสารมวลชนในอนาคต


โดย บ้านเมืองออนไลน์เมื่อเวลา 10:09:00  วันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2551
คอลัมน์ ; บ้านเมืองเรื่องวังจันทร์ : “สื่อสารมวลชนในอนาคต” (หนังสือพิมพ์บ้านเมือง ฉบับวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2551)
ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์  สำนักวิทยาการจัดการและสารสนเทศศาสตร์
ม.นเรศวร พะเยา

“สื่อสารมวลชนในอนาคต”

                ทีวี 10,000 ช่อง วิทยุ 100,000 สถานี หนังสือพิมพ์ 1,000,000 หัวหนังสือพิมพ์  กำลังจะเป็นจริง  โลกแห่งการเปลี่ยนแปลง ทำให้สื่อสารมวลชนจำเป็นจะต้องมีการปรับตัวในอนาคต ในอดีตมีคำว่า “ใครคือผู้ครอบครองสื่อ คนนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้” เพราะผู้ชมหรือผู้อ่าน มักเป็นฝ่ายที่ตั้งรับ โดยเจ้าของสื่อสารมวลชนสามารถกำหนดเนื้อหาของข้อมูลข่าวสารต่างๆ ผ่านสื่อได้

                แต่ในโลกอนาคตอันใกล้ ทีวีหรือหนังสือพิมพ์ รวมทั้งสื่อสารมวลชนอื่นจะมีจำนวนมากมาย มหาศาล โดยผ่านทาง อินเตอร์เน็ต ทางทีวีก็จะเปลี่ยนเป็น “อินเตอร์เน็ตทีวี” (ไอพีทีวี)

หรือ Internet Protocol Television แล้วทางหนังสือพิมพ์ก็จะเป็น “อินเตอร์เน็ตหนังสือพิมพ์”

                ปัจจุบัน ประเทศไทยเรามีทีวีจำนวนหลักสิบ โดยมีทีวีช่องหลักและทีวีผ่านทางดาวเทียม ซึ่งนับว่ามากกว่าในอดีตที่มีจำนวนหลักหน่วย คือ ช่อง 3, 5, 7, 9 แต่ถ้ารวมกันทั้งโลกในปัจจุบันเรามีสถานีโททัศน์ทั่วโลกอยู่ที่หลักร้อย ช่อง  แต่เมื่อเข้าสู่ยุคของ “IPTV” จำนวนช่องทีวีจะมีมากถึงหลักหมื่นเลยทีเดียว

                นับ จากที่มีอินเตอร์เน็ต เกิดขึ้นมาทำให้โลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วขึ้น คนรับรู้ข่าวสารข้อมูลมากขึ้น ทีวีหรือหนังสือพิมพ์ ที่ผ่านอินเตอร์เน็ตยังมีจุดเด่นอีกอย่างก็คือ นอกจากจะได้ดูรายการแบบเรียลไทม์เหมือนโทรทัศน์ทั่วไปแล้ว ยังสามารถเรียกดูย้อนหลังได้อีกด้วย หนังสือพิมพ์ทางอินเตอร์เน็ต วิทยุผ่านทางอินเตอร์เน็ต ก็เช่นกัน

                จุดเด่นดัง กล่าวทำให้บริษัทต่างๆ  เริ่มพัฒนาโปรแกรมเพื่อส่งข้อมูลผ่าน ทีวีทางอินเตอร์เน็ต เช่น ค่ายกูเกิล หรือยาฮู  บริษัทเมืองไทยก็เริ่มมีการขยับตัว ถ้ามีเวลาท่านผู้อ่านลองเข้าไปที่ เว็บไซต์ www.wakeupwakeupwakeup.com ท่านก็จะเห็นการพัฒนาทีวีอินเตอร์เน็ตของไทยเรา ซึ่งในเว็บไซต์มีทั้งหนังสั้นประมาณ 30 กว่าเรื่อง เพราะกำลังเปิดทำการมาประมาณ 4-5 เดือน ซึ่งจะเห็นได้ว่าผู้จัดทำทีวีอินเตอร์เน็ตทั่วโลก สามารถนำเสนอผลงานที่สร้างสรรค์ได้มากขึ้นและสามารถมีขีดการรับรู้ได้กว้าง ทั่วโลก แต่ข้อเสียก็คือ เป็นการยากต่อการควบคุม

ถ้าหากทีวี อินเตอร์เน็ตบางช่องนำเสนอเรื่องราวที่ไม่มีความเป็นจริง และไปกระทบถึงบุคคลอื่น อาจจะถึงขั้นฟ้องร้องกันในเวลาต่อมา อีกทั้งยังอาจจะมีทีวีอินเตอร์เน็ตประเภท หนังโป๊ คลิปโป๊ และ สิ่งที่ไม่มีสาระปะปนมาได้เช่นกัน ซึ่ง เว็บไซต์ประเภทดังกล่าว บ้านเรานิยมกันเนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคของไทยเรานิยมใช้อินเตอร์เน็ต เพื่อความบันเทิงมากกว่าใช้เพื่อทำงานถึง 80% เลยทีเดียว

                ถ้า สื่อสารมวลชนเปลี่ยนแปลงไป ดังกล่าว เราซึ่งหมายถึงผู้บริโภคหรือผู้ชมหรือผู้อ่าน อาจไม่ใช่ผู้ที่ตั้งรับอีกต่อไป เราอาจเป็นผู้รุก ซึ่งปัจจุบันผู้บริโภคหรือประชาชนก็เริ่มรุกมากขึ้นแล้ว เช่น ทุกคนสามารถเป็นผู้สื่อข่าวได้ เพียงแต่โพสต์เรื่องขึ้นมาแล้วก็จะกระจายไปโดยอัตโนมัติ

          สำหรับ ประเทศไทยเรา การให้บริการทีวีผ่านอินเตอร์เน็ตจะต้องขอใบอนุญาตจาก กสช. ก่อน แต่ขณะนี้ กสช.ยังไม่ได้รับการอนุมัติแต่งตั้งจากวุฒิสภา แต่กระแสของสื่อสารมวลชนของโลกยุคใหม่กำลังแรง

โลกร้อน น้ำมันแพง

โลกร้อน น้ำมันแพง



คอลัมน์ : บ้านเมือง-เรื่องวังจันทร์ โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ ม.นเรศวร พะเยา
: โลกร้อน น้ำมันแพง
                ภาวะ น้ำมันราคาแพงในปัจจุบัน สร้างปัญหาให้กับทุกประเทศไม่เว้นแม้กระทั่งประเทศไทยของเรา เนื่องจากราคาน้ำมันดิบโลกราคาแพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประเทศไทยเราเองจึงต้องเดือดร้อน เนื่องจากประเทศไทยเราไม่มีน้ำมันดิบเป็นของตนเอง

                เมื่อ กระแสราคาน้ำมันแพง บวกกับปัญหาโลกร้อนอันเนื่องมาจากการปล่อยมลพิษ ของเสียต่างๆ รวมทั้งสารต่างๆ ที่ทำให้เกิดภาวะเรือนกระจก และสารต่างๆ เหล่านั้นส่วนหนึ่งมาจากการใช้น้ำมัน ฉะนั้นในปัจจุบันชาวโลกจึงหันมาให้ความสนใจพลังงานบริสุทธิ์หรือพลังงานทด แทน ที่ใช้แล้วไม่ไปทำลายสิ่งแวดล้อม เช่น พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานไฟฟ้า รวมทั้งพลังงานอันเกิดจากพืชการเกษตร

                พลังงานอันเกิดจากภาคเกษตรนี่เอง ที่ทำให้กระแสของชาวเกษตรกรของไทยเรายิ้มออก

และ เริ่มมองเห็นภาพที่สดใสขึ้น ทำให้เกิดมีข่าวอย่างต่อเนื่องในลักษณะว่า ผู้ใช้แรงงาน ชาวไร่ ชาวนา เริ่มหันมาปลูกพืชที่สามารถแปรสภาพเป็นพลังงานทดแทนน้ำมัน เช่น  ฉันทนาแห่ปลูกปาล์ม, ตะวันออกเดิมพันโค่นสวนผลไม้ ลุยปาล์ม-ยางพารา, อีสานฮิตไร่มันฯ  เป็นต้น

                สำหรับพืชที่สามารถนำมา แปรเป็นน้ำมันคือ ถั่วเหลือง ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง ข้าวโพด ฯลฯ เมื่ออดีตพืชน้ำมันเหล่านี้มักใช้ในอุตสาหกรรมอาหารคนและอุตสาหกรรมอาหาร สัตว์ แต่ในปัจจุบันเริ่มที่จะนำมาใช้กับ อุตสาหกรรมพลังงานทดแทนมากยิ่งขึ้น

                ซึ่งโดยส่วนตัว กระผมเอง เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากการนำพืชน้ำมันมาใช้ในอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน จะทำให้เราลดการนำเข้าน้ำมันได้มากและลดการขาดดุลการค้าต่างๆ ได้มากเช่นกัน อีกทั้งเกษตรกรเองก็มีรายได้เพิ่มขึ้น ผู้ใช้แรงงานที่ทำงานในกรุงเทพฯ ก็สามารถกลับไปทำงานในชนบทหรือบ้านเกิดของตนเองได้  สามารถลดปัญหาสังคมใน เมืองหลวงได้ระดับหนึ่ง

                เพียงแต่กระผมอยากเห็นการ สนับสนุนจากรัฐบาลอย่างเต็มที่ ช่วยเหลือเกษตรกร ผู้ลงทุน เพื่อให้เขาเกิดความมั่นใจในการลงทุน ไม่ใช่เพียงแต่สร้างกระแสให้คนปลูกพืชน้ำมันเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมพลังงานทด แทนกันมากๆ แล้วก็ลอยแพหรือไม่สนใจให้ความช่วยเหลือในอนาคต

                สำหรับประเทศในยุโรปหรือสหรัฐเอง ก็ตื่นตัวกับพลังงานทดแทนไม่น้อยไปกว่าไทยเรา

เช่น ปีที่ผ่านมา (ปี 2550) สหรัฐอเมริกานำข้าวโพดไปใช้ผลิตเอทานอลสูงถึง 80-90 ล้านตัน และปีนี้ (ปี 2551) เองสหรัฐก็ประกาศว่าจะผลิตเอทานอลจากข้าวโพดไม่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา

                ส่วน สหภาพยุโรป ก็เป็นห่วงเรื่องภาวะโลกร้อนและราคาน้ำมันแพง จึงใช้พลังงานทดแทนโดยนำ เรพซีด (น้ำมันพืชเมืองหนาว) ไปใช้สำหรับผลิตไบโอดีเซล เพื่อลดการใช้น้ำมันและภาวะโลกร้อน


          สำหรับ การใช้พลังงานทดแทนจากพืช นำมาใช้ทดแทนน้ำมันที่มีราคาแพง เราอาจจะมองแต่ส่วนที่ดี แต่ความจริงของชีวิต เมื่อมีส่วนดี ก็มีส่วนเสีย  สำหรับปัญหาที่เกิดจากการนำพืชน้ำมันไปใช้ในอุตสาหกรรม พลังงานทดแทนนี้ ก็คือ ผู้บริโภคต้องรับมือกับอาหารที่แพง ดังจะเห็นจากราคาน้ำมันปาล์มจากราคาเพดานที่กระทรวงพาณิชย์กำหนดให้ขวดละ 38 บาท (ขนาด 1 ลิตร) จากที่ไม่เคยขายชนราคาเพดาน แต่ปัจจุบันต้องปรับราคาเพดานขึ้นไปอยู่ที่ขวดละ 43.50 บาท สาเหตุเนื่องจากราคาผลปาล์มดิบมีราคาสูงขึ้นกิโลกรัมละ 2 บาทกว่าเป็น 6 บาทกว่า  อีกทั้งน้ำมันถั่วเหลืองต้องนำเข้ามาจากสหรัฐ เนื่องจากวัตถุดิบไม่เพียงพอต่อความต้องการของประเทศ สำหรับน้ำมันถั่วเหลืองราคาเพดานในปัจจุบันอยู่ที่ขวดละ 45.50 บาท ซึ่งมีราคาสูงกว่าในอดีต

                ณ วันนี้จึงเป็นเวลาที่อาจจะเรียกได้ว่า เป็นเวลาเปลี่ยนผ่าน จากการผลิตพืชน้ำมันเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอาหารคนและอาหารสัตว์ มาเป็นอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน เป็นที่น่าจับตาต่อไปว่า การเปลี่ยนผ่านดังกล่าวจะทำให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมาอีกหรือไม่ เพราะการแก้ไขปัญหาอย่างหนึ่ง อาจเกิดปัญหาอีกอย่างหนึ่งตามมาเสมอ

ปัญหาพลังงานยังเป็นปัญหาใหญ่ต่อไป

ปัญหาพลังงานยังเป็นปัญหาใหญ่ต่อไป

โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
ม.นเรศวร พะเยา
www.drsuthichai.com
ปัญหาพลังงานยังเป็นปัญหาใหญ่ต่อไป
นำเข้าปาล์มกิโลกรัมละ 38  บาท ,  ผู้ค้าน้ำมันเปิดศึกแข่งอี 20 เดือด , เตรียมลอยตัวก๊าซหุงต้มเต็มสูบ ,   หนุนใช้ NGV แต่ปั๊มมีจำกัด  ฯลฯ
            นี่ เป็นพาดหัวข่าวในบทความต่างๆ ที่ลงในหน้าหนังสือพิมพ์ เราจะเห็นว่าปัญหาพลังงานยังคงเป็นปัญหาใหญ่ต่อไป เป็นปัญหาที่เกิดจากสถานการณ์ที่ยังไม่นิ่ง  ไม่ว่าจากปัจจัยการเมืองในประเทศและต่างประเทศ
ไม่ ว่าจากการขึ้นลงของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก โดยที่รัฐบาลพยายามแก้ปัญหาหลายอย่าง เช่น การส่งเสริมพลังงานทดแทน แต่การแก้ปัญหาของรัฐบาลเหมือนแก้ปมเชือกหนึ่งปม แล้วเกิดปมใหม่ตามมา ดังเช่น
            การส่งเสริมให้ใช้ NGV แทนน้ำมันที่ราคาแพง แต่ปรากฏว่า ปั๊มมีไม่เพียงพอต่อความต้องการและราคาถัง NGV ก็ราคาแพงกว่าถัง LPG เกือบ 2-3 เท่าตัว
การ ส่งเสริมให้ใช้น้ำมันปาล์มเพื่อมาทำ น้ำมันไบโอดีเซล แต่ปรากฏว่า เกิดการขาดแคลนปาล์มจึงต้องสั่งซื้อหรือนำเข้าปาล์มดิบจากประเทศมาเลเซียใน ช่วงเวลาที่ผ่านมา
            ผมขอขยายความหมายของ คำว่า น้ำมันไบโอดีเซล   คือน้ำมันที่ผลิตได้มาจากน้ำมันพืชชนิดต่างๆ
หรือ น้ำมันที่ผ่านการใช้ปรุงอาหารแล้ว นำมาแปรสภาพ โดยผ่านขบวนการเคมีและแอลกอฮอล์ เป็นน้ำมันชนิดใหม่ที่อยู่ในรูปของเอทิลเอสเตอร์ ซึ่งสามารถนำมาใช้กับรถยนต์หรือเครื่องยนต์ได้ 
                พืชที่สามารถนำมาทำ น้ำมันไบโอดีเซล ได้แก่ น้ำมันปาล์มดิบ  น้ำมันมะพร้าวดิบ  สบู่ดำ ละหุ่ง มันสำปะหลัง อ้อย ข้าวโพดและข่าวฟ่างหวาน    พืชเหล่านี้มีศักยภาพและพัฒนาได้เร็วสำหรับประเทศไทยของเรา
            สำหรับ E 20 ที่รถยนต์บางคันใช้ได้ บางคันใช้ไม่ได้ เกิดจากการพัฒนาการล่าสุดของพลังงานทดแทน
โดย ใช้เอทานอล 20 % ผสมกับน้ำมันเบนซินพิเศษ 80 % เรียกว่า แก๊สโซฮอล์ E 20  ช่วยให้ประหยัดกว่า 6 บาท/ลิตร เนื่องจากมีส่วนผสมของเอทานอลมากขึ้นนั้นเอง
              เรา จะเห็นได้ว่าทางออกในการแก้ไขปัญหาพลังงานมักไปเกี่ยวพันกับปัญหาหรือ กิจกรรมเศรษฐกิจทางอื่นด้วย ดังนั้น กระผมขอฝากรัฐบาลว่า ควรมีนโยบายที่รอบคอบและชัดเจน ก่อนที่จะลงมือแก้ปัญหาพลังงาน
                จาก การประเมินของนักวิชาการระดับโลก คาดว่าน้ำมันปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติจะหมดไปจากโลกนี้ภายในเวลา 25-30 ปีนี้ ถ้าประชากรโลกยังคงใช้ น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ เหมือนในปัจจุบัน เพราะเช่นนั้น
ถ้าน้ำมันปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติมีจำนวนจำกัดอย่างนี้ และเมื่อความต้องการใช้ของประชากรโลกไม่ลดลง
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ราคาน้ำมันมีแนวโน้มสูงขึ้นอีกอย่างแน่นอนในอนาคต
            สำหรับแนวทางในการแก้ไขปัญหาของประเทศไทยเรา เนื่องจากประเทศไทยเราไม่มีแหล่งน้ำมันดิบ
เป็นของตนเอง จึงได้นำเข้าจากต่างประเทศเป็นจำนวนมากทำให้ขาดดุลการค้าอย่างมากจากการนำเข้าน้ำมันดิบ
แนวทางการแก้ไข อาจทำได้หลายวิธี คือ หาพลังงานทดแทนโดยการผลิตพลังงานเพิ่มขึ้นในประเทศ เช่น พลังงานน้ำ  พลังงานลม  พลังงาน จากแสงอาทิตย์ พลังงานจากขยะ ฯลฯ , จัดระบบขนส่งมวลชนให้ดีขึ้นเพื่อให้คนไทยได้ใช้ขนส่งมวลชนที่ดีทำให้ลดการ ใช้รถยนต์ส่วนตัวกันมากขึ้น , ประหยัด โดยการวางแผนล่วงหน้าสำหรับการเดินทาง ถ้าระยะทางใกล้มากๆก็ใช้วิธีเดิน ถ้าระยะทางไกลมาหน่อยก็ใช้วิธีปั่นจักรยาน ถ้าระยะทางไกลขึ้นอีกก็ใช้รถจักรยานยนต์  ถ้าระยะทาง ไกลมากก็จึงใช้รถยนต์ส่วนตัว และสิ่งที่สำคัญที่สุดรัฐบาลหรือผู้บริหารประเทศต้องสนับสนุน ส่งเสริม รณรงค์ เกี่ยวกับการใช้พลังงาน
                 

พจนานุกรมวัยรุ่น

พจนานุกรมวัยรุ่น
คอลัมน์ : บ้านเมือง – เรื่องวังจันทร์ : พจนานุกรมฉบับ วัยโจ๋ โดย
ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่) 
www.drsuthichai.com
                           พจนานุกรมฉบับ วัยโจ๋ ถ้าพูดถึงเรื่องของการใช้ภาษาไทยในทุกวันนี้ นับว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตเป็นอย่างมาก คำบางคำไม่มีการพูดถึงหรือมีการใช้ แต่ตรงกันข้ามได้มีคำที่เกิดขึ้นใหม่เป็นจำนวนมากที่ฟังแล้วมักไม่เข้าใจ
                          โดยเฉพาะคำที่ใช้ในกลุ่มของผู้ที่เรียกตัวเองว่า วัยรุ่นหรือวัยโจ๋ ถ้าพวกเราไปเปิดพจนานุกรมฉบับเก่าๆ เพื่อหาคำเหล่านี้ก็มักจะไม่เจอ เนื่องจากคำเหล่านี้ไม่ได้บรรจุในพจนานุกรมฉบับเก่า และยังมีอีกหลายคำที่ไม่สามารถบรรจุได้ในพจนานุกรมฉบับใหม่ได้ คำที่บรรจุในพจนานุกรมคำใหม่ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน 
                         เช่น คำเหล่านี้
                     อินเทรนด์ หมายถึง ทำตัวตามกระแสนิยม 
                    ชะนี หมายถึง คำที่กะเทยใช้เรียกผู้หญิง 
                        เจ๊ดัน หมายถึง ผู้หญิงที่ส่งเสริมให้ผู้อ่อนประสบการณ์ประสบความสำเร็จ 
                       ชิ่ง หมายถึง หลบฉาก หลบไปอีกทางหนึ่ง
                      เนียน หมายถึง กลมกลืน แนบเนียน ชิวชิว หมายถึง สบายๆ ง่ายๆ ธรรมดา 
                         จอแบน หมายถึง หน้าอกเล็กมาก
               แอ๊บแบ๊ว หมายถึง แสร้งทำให้ดูเป็นเด็กไร้เดียงสา 
                     ซกมก หมายถึง สกปรก ซอมซ่อ 
                    มั่วนิ่ม หมายถึง ฉวยโอกาสปะปนเข้าไปทำให้แยกไม่ออก 
                          กิ๊ก หมายถึง เพื่อนสนิทต่างเพศซึ่งอาจจะมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาว
                        อึ๊บ หมายถึง ร่วมหลับนอน และยังมีคำใหม่อีกจำนวนมาก
                        แต่เนื่องจากพื้นที่มีจำกัด จึงขอนำมาเสนอเพียงแค่นี้ก่อน ถ้าท่านผู้อ่านสนใจ อาจซื้อพจนานุกรมคำใหม่ เล่ม 1 ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ที่ออกใหม่ มาอ่านกันได้ 
                  โดยรวบรวมมาจาก โฆษณา หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ กลุ่มวัยรุ่น นักเรียน นิสิต นักศึกษาไว้ทั้งหมด 1,576 คำ เรียงตามตัวอักษร ก-ฮ แต่ถ้าท่านผู้อ่านได้มีโอกาสเล่นอินเตอร์เน็ต ท่านก็อาจเจอคำเหล่านี้ได้ไม่ยาก เนื่องจากการสื่อสารในโลกอินเตอร์เน็ตต้องใช้ความเร็ว จึงทำให้ภาษาเกิดการผิดเพี้ยนหรือภาษาวิบัติ แต่ถ้าเป็นมุมมองของพวกวัยโจ๋หรือวัยรุ่น อาจพูดว่า ภาษาเหล่านี้เป็นภาษาที่สร้างสรรค์ก็เป็นได้ ซึ่งคำที่เกิดขึ้นใหม่นี้ อาจเกิดจากคำเดิมที่มีการใช้คำขยายใหม่, คำที่มีอยู่แล้วแต่ขาดตัวอย่างการใช้คำเปรียบเทียบที่ยังไม่ได้เก็บไว้, คำเลียนเสียง แสดงอารมณ์, คำในภาษาต่างประเทศที่ใช้กันมาก, คำภาษาปาก เป็นต้น แหม! 
                    สำหรับพวกเราที่ไม่ใช่วัยโจ๋หรือวัยรุ่น ก็คงต้องทำใจ กระผมเชื่อว่า ทุกภาษา ก็คงต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคตามสมัย เช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาเวียดนาม ฯลฯ ก็คงต้องมีคำที่เกิดขึ้นใหม่และคำที่ตายหรือคำที่ไม่มีใครใช้เช่นกัน สำหรับประเทศไทยของเรานี้ นับว่าโชคดีเป็นอย่างยิ่งที่มีภาษาเป็นของตนเอง 
                     ต้องขอขอบพระคุณพ่อขุนรามคำแหง ที่พระองค์ทรงประดิษฐ์อักษรไทย ให้คนไทยได้ใช้กันจนทุกวันนี้ และโชคดีที่ภาษาไทยของเรายังคงอยู่คู่กับประเทศไทยของเรา ซึ่งบางประเทศไม่มีการใช้ภาษาของตนเองแล้ว

แก้ปัญหาเยาวชน

แก้ปัญหาเยาวชน


โดย หนังสือพิมพ์ บ้านเมือง  วันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ.2550
คอลัมน์ : บ้านเมืองเรื่องวังจันทร์ : แก้ปัญหาเยาวชน
โดย ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
แก้ปัญหาเยาวชน

      แก้ ปัญหา มั่วสุม มั่วเซ็กซ์ มั่วสุรา-ยาเสพติด เป็นข้อความที่ประชาสัมพันธ์ตามสื่อหนังสือพิมพ์ต่างๆ ของสำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส คนพิการและผู้สูงอายุและสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

      เป็น การประชาสัมพันธ์ รณรงค์ให้ผู้ประกอบกิจการหอพัก อพาร์ตเมนต์ แมนชั่น ห้องเช่า คอนโดมิเนียม ฯลฯ ให้ไปจดทะเบียนหอพักให้ถูกต้องตามกฎหมาย เป็นการหยุดปัญหาหอพักเถื่อนหรือผู้ประกอบการเถื่อน ในความคิดเห็นของกระผม ซึ่งปัจจุบันกระผมสอนหนังสืออยู่ที่ มหาวิทยาลัยนเรศวร พะเยา และเป็นอาจารย์พิเศษ ตามสถาบันการศึกษาต่างๆ จึงเห็นพฤติกรรม ของเด็กนักเรียน นักศึกษา นิสิต ตามสถาบันศึกษาต่างๆ จึงถือว่าโครงการนี้เป็นโครงการที่ดีมากๆ

      การจดทะเบียนหอพัก ให้ถูกต้องตามกฎหมาย สำหรับเจ้าของสถานที่ ที่ให้นักเรียน นักศึกษา ระดับไม่สูงกว่าปริญญาตรี อายุไม่เกิน 25 ปี เช่าพักอาศัยตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ไม่ว่าจะชื่อ หอพัก แมนชั่น อพาร์ตเมนต์ ห้องเช่า คอนโดมิเนียม ฯลฯ ต้องจดทะเบียนภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2550 หากฝ่าฝืนมีโทษ จำคุก 6 เดือน และอาจถูกควบคุมกิจการ

      ปัญหาหอพักเถื่อนหรือไม่เถื่อน แต่เป็นหอพักที่เป็นแหล่งที่ก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ หน่วยงานภาครัฐ จำเป็นต้องควบคุม เพราะหอพักที่มีปัญหา มักจะเป็นที่มั่วสุมของเด็กและเยาวชนต่างๆ เพราะบางทีเด็กหนีโรงเรียน แล้วไปพักกับเพื่อนที่หอพัก โดยที่พ่อแม่หรือผู้ปกครองคิดว่าเด็กไปโรงเรียนแล้ว ดังนั้น จึงเกิดการมั่วสุมของเด็กเยาวชน มั่วเซ็กซ์ มั่วสุรา-ยาเสพติด และการมั่วสิ่งเหล่านี้ก็จะทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา เช่น การติดโรคเอดส์ การลักขโมย การทะเลาะ การชกต่อยกัน ปัญหาเด็กขายตัว ตลอดจนทำให้เด็กเยาวชนไม่สนใจเรียนหนังสือ

      ท่านผู้อ่านบทความ ของกระผม บางท่าน อ่านแล้วอาจรู้สึกว่า แค่ปัญหาหอพัก จะทำให้ก่อปัญหามากมายขนาดนั้นเลยหรือ  แต่ความจริงที่เกิดขึ้น ในสังคมไทยเราปัจจุบัน ถ้าเราลองไปสอดส่องหรือสังเกต ตามหอพักภายนอกสถาบันการศึกษาต่างๆ เราจะเห็นว่า เด็กเยาวชนของเราในยุคปัจจุบัน มักจะอยู่กันเป็นคู่ เสมือนหนึ่งว่าเป็นสามีภรรยากัน อีกทั้งหอพักบางส่วนก็เป็นแหล่งรวมหรือศูนย์รวม เวลาเด็กไม่ไปเรียนก็มักจะอาศัยหอพักเป็นแหล่งที่พักอาศัย

      หอ พักบางแห่ง ก็ไม่มีความปลอดภัย บางแห่งถึงกับใช้หอพัก เป็นแหล่งขายกิจการทางเพศหรือติดต่อซื้อขายกันเลยก็มี ดังนั้น โครงการจัดระเบียบและจดทะเบียนหอพักในครั้งนี้ กระผมเห็นด้วย 100% เพื่อลูกหลานของเรา เพื่ออนาคตของประเทศชาติ กระผมจึงขอความร่วมมือ ผู้ประกอบกิจการหอพักที่ทำมาหากินด้วยความบริสุทธิ์ ได้โปรดสละเวลาไปจดทะเบียนกัน

      กรุงเทพฯ ติดต่อขอจดทะเบียนที่ สำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส คนพิการ และผู้สูงอายุ ชั้น 2 อาคาร 3 ถ.นิคมมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพฯ โทร.0-2651-6541, 0-2255-5850 ต่อ 119, 269  สำหรับต่างจังหวัด ติดต่อขอจดทะเบียนที่ สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด ทั่วประเทศ

      โครงการดีๆ อย่างนี้ จะไม่ให้กระผมช่วยประชาสัมพันธ์ได้อย่างไรกันครับ

น้ำมันลอยติดลมบนประชาชน ถูกเหยียบติดดิน

น้ำมัน ...ลอยติดลมบน ประชาชน...ถูกเหยียบติดดิน


โดย : ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ ม.นเรศวร พะเยา
             www.drsuthichai.com
ถ้า พูดถึงเรื่องราคาน้ำมันในบ้านเรามีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอีก เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีแนวโน้มที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้คนที่ใช้รถยนต์ส่วนตัวเดือดร้อน และราคาน้ำมันทำท่าว่าจะไม่ลดลงง่ายๆ เนื่องจากเป็นช่วงฤดูหนาว ซึ่งช่วงฤดูหนาวของทุกปีจะมีความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นกว่าปกติ
          อีก ทั้งเกิดปัจจัยความตึงเครียดระหว่างตุรกีและอิรัก และปัญหาอื่นๆ เพิ่มความรุนแรง ส่งผลให้กองทุนเก็งกำไร หรือที่เรียกว่า "เฮดจ์ฟันด์" เข้ามาทำกำไร อาจทำให้น้ำมันมีการขาดแคลนในอนาคต
          สำหรับราคาน้ำมันในบ้านเราขณะนี้ ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลขยับเข้าใกล้ 30 บาท/ลิตร ทุกขณะ ส่วนราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินอยู่ที่ 32.89 บาท/ลิตร หรือเกือบ 33 บาท/ลิตร
          เมื่อ ราคาน้ำมันสูงขึ้นในปัจจุบันก่อให้เกิดผลกระทบกับราคาสินค้าต่างๆ รวมไปถึงพลังงานอื่นๆ ด้วย เช่น ราคาก๊าซแอลพีจีที่ติดตั้งในรถแท็กซี่-รถยนต์ส่วนตัวและใช้ในครัวเรือน รัฐบาลมีนโยบายลอยตัวเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งสาเหตุก็คงเกิดจากคนเปลี่ยนมาใช้ก๊าซแอลพีจีกันมากขึ้นในรถยนต์ส่วนตัว จึงทำให้ต้องมีการปรับตัวตามความเป็นจริง
          สำหรับ พี่น้องประชาชนคนไทยได้รับผลกระทบอย่างหนัก ที่เห็นได้ชัดคือ ราคาสินค้าอุปโภค บริโภค ขนส่งมวลชน ไม่ว่าอาหารสด อาหารแห้ง อาหารทะเล ผัก ผลไม้ มีการขึ้นราคาตามมา รถโดยสารประจำทางก็มีการปรับราคาขึ้น สินค้าหลายตัวมีการปรับราคาขึ้น และกระผมเชื่อว่า หลังปีใหม่ เราคงได้เห็นสินค้าอีกหลายตัวทยอยขึ้นราคาตามมา ทำให้คนที่หาเช้ากินค่ำ ทำงานรายวัน เดือดร้อนไปตามๆ กัน
          กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่ขึ้นราคา ก็คือ มาม่าขอขึ้นอีกซองละ 1 บาท และได้รับไฟเขียวให้ขึ้นเรียบร้อยแล้ว ทำให้ประชาชนที่เป็นแฟนประจำของมาม่า ต่างร้องเป็นเสียงเดียวกันถึงความเดือดร้อนในการขึ้นราคาในครั้งนี้ น้ำมันพืชขอขึ้นอีก 5 บาท จาก 38 บาท/ขวด ขึ้นไปอีกไม่เกิน 43.50 บาท/ขวด โดยแบ่งเป็น 2 ช่วงในการเปลี่ยนแปลงราคาในครั้งนี้ นมปรับราคา 20% ในช่วงเดือนสิงหาคม เนื่องจากต้นทุนน้ำนมดิบที่มีราคาสูงขึ้น
          ด้านตัวเลขเงินเฟ้อในปีหน้าพุ่งขึ้น 4% อย่างไรก็ขอฝากธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงคลังและกระทรวงพาณิชย์ ช่วยดูแลด้วยครับ ไม่ให้ตัวเลขเงินเฟ้อพุ่งสูงจนเกินไป
          สำหรับราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นในตอนนี้และในปีหน้า ก็ขอฝากกระทรวงพาณิชย์ (กรมการ ค้าภายใน) ช่วยดูแล ควบคุม เรื่องของราคาสินค้า การกักตุนสินค้า การขาดแคลนสินค้า รวมถึงการดูต้นทุนที่แท้จริงของการผลิต เพื่อไม่ให้ผู้ประกอบการขึ้นราคาเอาเปรียบผู้บริโภคมากจนเกินไป เพราะราคาสินค้าขึ้นได้ง่าย แต่โอกาสที่ราคาสินค้าจะถูกลงหรือลดลงมีความเป็นไปได้น้อยมาก
          ถึงแม้รัฐบาลหรือครม. ได้ไฟเขียวให้ขึ้นค่าจ้าง 1-7 บาท ในวันที่ 1 มกราคม 2551 แต่เมื่อเทียบกับราคาสินค้าที่สูงขึ้นมาตอนนี้และหลังปีใหม่ การขึ้นค่าแรงแทบไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเลย
          ด้าน หนี้ในครัวเรือน สินเชื่อเพื่อบริโภคส่วนบุคคลก็เติบโตขึ้นอย่างน่าตกใจ เช่น สินเชื่อผ่านบัตรเครดิตหรือบัตรพลาสติกที่มีการผ่อนชำระ มีการขยายตัวสูง และก่อให้เกิดหนี้คงค้างชำระบัตรเครดิตติดตามมา จากการตรวจสอบพบว่ากลุ่มผู้รายได้น้อย เป็นกลุ่มที่ใช้จ่ายสินเชื่อด้านนี้สูงมาก อีกทั้งหนี้ในครัวเรือนก็มีมากขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง
          ดัง นั้น จึงขอให้รัฐบาลช่วยหาวิธีแก้ไข เยียวยา ความเดือดร้อนจากปัญหาราคาน้ำมัน ราคาสินค้า หนี้ในครัวเรือน เพราะถ้าประชาชนเดือดร้อนจากราคาน้ำมันกันมาก ก็จะเกิดเหตุความวุ่นวายได้ในอนาคต ดังจะเห็นได้จากประเทศเพื่อนบ้านของเราคือ ประเทศพม่า ไม่ใช่ราคาน้ำมันหรือ ที่ส่งผลกระทบต่อการครองชีพของประชาชนชาวพม่า จนทนไม่ไหวจึงออกมาประท้วงกันเป็นจำนวนมาก
          เมื่อ ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเกิดความเดือดร้อนจากปัญหาราคาน้ำมัน ราคาสินค้า และค่าครองชีพ ก็อาจจะส่งผลกระทบกับปัญหาอื่นๆ ตามมา เช่น ปัญหาการปล้น การขโมย ปัญหายาเสพติด ปัญหาสังคม ปัญหาการฆ่าตัวตาย ฯลฯ
          จาก ปัญหาดังกล่าวข้างต้นจะเห็นว่า ปัญหาใหญ่ก็คือ การดีดตัวของราคาน้ำมันเป็นต้นเหตุให้ราคาสินค้าเพิ่มราคาสูงขึ้น ดังนั้น รัฐบาล ผู้ที่เกี่ยวข้อง จึงต้องช่วยกันดูแล และถ้าจำเป็นจริงๆ ก็ควรที่จะศึกษา วิจัย พลังงานทดแทนใหม่ๆ มาทดแทนน้ำมันที่มีราคาสูงขึ้น
          สำหรับการแก้ปัญหาราคาน้ำมันราคาแพง เราอาจทำได้หลายวิธีเช่น

         สำหรับ การหาพลังงานทดแทน เช่น แก๊สโซฮอล์ ก๊าซเอ็นจีวี ก๊าซแอลพีจี พลังงานน้ำ พลังงานลม พลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์ พลังงานขยะ ฯลฯ พลังงานเหล่านี้สามารถใช้ทดแทนพลังงานจากน้ำมันได้ แต่ในปัจจุบันเราต้องยอมรับว่า เราขาดการวิจัย พัฒนา พลังงานเหล่านี้ เพื่อที่จะนำพลังงานเหล่านี้ขึ้นมาใช้ทดแทนพลังงานจากน้ำมันได้อย่างมี ประสิทธิภาพ
          การ แก้ไขปัญหาอีกวิธีก็คือ การประหยัด ประชาชนทุกคนควรช่วยกันประหยัดน้ำมัน ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ควรใช้รถยนต์ส่วนตัว เช่น ถ้าจำเป็นจะต้องเดินทางไปไหนในระยะทางที่ใกล้ๆ ก็ควรเดินไป หรือควรใช้จักรยาน ถ้าไกลไปอีกหน่อยก็ควรใช้จักรยานยนต์ แต่ถ้าจำเป็นต้องเดินทางระยะทางไกลๆ ก็ควรใช้รถโดยสารประจำทาง
          อีก ทั้งต้องหัดเป็นคนมีการวางแผนการเดินทาง ซึ่งการวางแผนการเดินทางนี้ จะทำให้เราสามารถประหยัดค่าน้ำมันและเวลาได้มากเลยทีเดียวครับ ถ้าจะไปทำธุระที่บริเวณใกล้เคียงกัน ก็ควรวางแผนไปทำธุระในวันเดียวกัน
          ฉะนั้น คนไทยเราทุกคนต้องช่วยกันประหยัด จะเดินทางไปไหนควรต้องมีการวางแผนก่อน รัฐบาลหรือผู้บริหารประเทศควรส่งเสริม สนับสนุน วิจัย พัฒนา พลังงานทดแทนที่จะนำมาใช้แทนน้ำมัน เพื่อลดปริมาณการใช้น้ำมันในอนาคต
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

ปัญหาสิ่งแวดล้อม

ปัญหาสิ่งแวดล้อม
โดย บ้านเมืองออนไลน์ เมื่อเวลา 9:03:00 วันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ.2550 คอลัมน์ : บ้านเมืองเรื่องวันจันทร์ : ปัญหาสิ่งแวดล้อม ใครรับผิดชอบ 
โดย..ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
                                 ถามว่าปัญหาสิ่งแวดล้อม ในปัจจุบันใครเป็นผู้รับผิดชอบ ถ้าจะตอบว่า ต้องช่วยกัน ต้องร่วมมือกัน ก็ฟังดูดี แต่อาจเป็นข้อสรุปที่ง่ายเกินไป และอาจจะไม่มีใครปฏิบัติและรับผิดชอบ ถามต่อว่า ถ้าอย่างนั้น ควรเป็นใครเป็นผู้รับผิดชอบ 
                                ในความเห็นของกระผมขอแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
                                    กลุ่มแรก รัฐบาล เป็นกลุ่มที่มีอำนาจหน้าที่ กำกับ ดูแล โดยออกกฎหมายมาเพื่อใช้บังคับ ให้คนในประเทศปฏิบัติ อีกทั้งยังมีกลไก บุคลากร ข้าราชการ งบประมาณ เครื่องมือ ฯลฯ ในการดำเนินการเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม 
                               กลุ่มที่สอง คือ กลุ่มธุรกิจ เป็นกลุ่มที่มีผลประโยชน์ จากการผลิตสินค้า บริการ โดยใช้ทรัพยากรต่างๆ ของประเทศ เพื่อทำการผลิตสินค้า และบริการ เพื่อจำหน่ายทั้งภายในและส่งออกต่างประเทศ เป็นกลุ่มที่ก่อให้เกิดสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ โดยเฉพาะในกระบวนการผลิต ที่ก่อให้เกิดสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ เช่น น้ำเสีย บางโรงงานปล่อยน้ำเสีย ของเสียทิ้งลงแม่น้ำลำคลอง ลำน้ำสาธารณะ โดยไม่มีการบำบัด อากาศเสีย บางโรงงานปล่อยควันพิษ ฝุ่นละอองที่เป็นพิษออกจากโรงงานโดยไม่มีการกรองอากาศ ฯลฯ 
                          กลุ่มที่สาม คือ ประชาชน กลุ่มนี้เป็นกลุ่มใหญ่สุด เป็นกลุ่มที่มีสถานะทั้งการผลิตและบริโภค ในฐานะผู้ผลิตคือ ผู้ใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ทั้ง ดิน น้ำ ป่าไม้ โดยเฉพาะทางด้านเกษตรกรรม ทำให้เกิดผลกระทบที่ตามมา เช่น ทำให้ดินเสื่อมคุณภาพ น้ำถูกปนเปื้อนด้วยสารเคมีซึ่งมาจากปุ๋ยและยาฆ่าแมลง อีกทั้งคนในกลุ่มนี้เป็นทั้งผู้บริโภค คือ ใช้สินค้าและบริการ ที่ฝ่ายธุรกิจผลิตออกมา ซึ่งสินค้าบางตัวอาจส่งกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากน้อยต่างกัน ตัวอย่าง การใช้สินค้าที่ อุปโภค บริโภค โดยทิ้งสารตกค้าง หรือ ย่อยสลาย ไม่ได้ก่อให้เกิดขยะ หรือสิ่งที่พิษตามมามากมาย ซึ่งทั้งสามกลุ่ม ต้องรับผิดชอบร่วมกัน ไม่ใช่ รัฐ เก็บภาษีได้แล้ว ก็โยนความผิดให้กลุ่มธุรกิจและกลุ่มของประชาชน โดยอ้างว่า เพราะ ขยะ น้ำเสีย อากาศเป็นพิษ มาจากโรงงาน 
                            ถ้าจะโยนความผิดอย่างนี้ ก็คงยากที่จะแก้ไขได้ การที่จะร่วมมือกันของทั้งสามกลุ่มได้ต้องอาศัยความเข้าใจในปัญหา การศึกษา การเก็บข้อมูล รวมถึงต้องสร้างจิตสำนึก ความรับผิดชอบ ดังกรณี การใช้น้ำมันไร้สารตะกั่ว ถือว่าประสบความสำเร็จพอสมควร การใช้น้ำมันที่มีค่าออกเทนสูง จะทำให้สารตะกั่วออกจากท่อไอเสีย และตกค้างอยู่ที่ถนน เมื่อสูดเข้าไปจะมีผลกระทบกับระบบหายใจ ระบบประสาท ระบบสมอง ถ้ารับไปมากๆ ก็จะทำให้ความจำเสื่อม ดังนั้น รัฐบาลจึงเริ่มรณรงค์ให้ใช้น้ำมันไร้สารตะกั่ว 
                            ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2534 โดยได้รับความร่วมมือ จากกลุ่มธุรกิจและกลุ่มประชาชน ทำให้สารตะกั่วในอากาศและตามท้องถนนลดน้อยลง สิ่งที่ควรทำหรือควรปฏิบัติสำหรับการรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม หลักใครทำ ใครทิ้ง ผู้นั้นจ่าย การผลิต ตามกระบวนการต่างๆ กลุ่มธุรกิจและกลุ่มประชาชน อาจก่อให้เกิด น้ำเสีย อากาศ เป็นพิษ ผู้นั้นจะต้องรับผิดชอบการกระทำ โดยอาจเสียค่าระบบป้องกันต่างๆ หรือ ถ้ามีผลกระทบต่อสังคมโดยรวม ต้องจ่ายค่าเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้น ควรกระจายความรับผิดชอบ ในการจัดการสิ่งแวดล้อม โดยกระจายจากส่วนกลางไปยังส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น จนลงไปถึงประชาชน โดยสร้างจิตสำนึก สร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน
                       ปัญหาสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้นมานานแล้ว ไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทย ทุกประเทศทั่วโลก ล้วนมีปัญหาเช่นกัน ดังนั้น ปัญหาสิ่งแวดล้อมจึงเป็นปัญหาของชาติที่ทุกคน ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน กระผมเชื่อว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่มีพลัง ถ้าต้องการแก้ไขอย่างแท้จริงและจริงจัง กระผมเชื่อว่า เราจะสามารถป้องกัน รักษา รวมถึงฟื้นฟูคุณภาพของสิ่งแวดล้อมของประเทศได้ดีขึ้น ทั้งนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจาก ทั้งสามกลุ่มคือ รัฐบาล กลุ่มธุรกิจ และประชาชน

ควบคุมราคาสินค้า

ควบคุมราคาสินค้า
โดย..ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
  โดย บ้านเมืองออนไลน์ เมื่อเวลา 11:30:00 วันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ.2550 คอลัมน์ : บ้านเมืองเรื่องวังจันทร์ : ควบคุมราคาสินค้า ความท้าทายของ พาณิชย์  
                                                ควบคุมราคาสินค้า 
                         ความท้าทายของ พาณิชย์ ใกล้เลือกตั้งเข้ามาแล้วทุกขณะ สถานการณ์การเมืองจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ใครจะจับมือกันจัดตั้งรัฐบาลก็ยังไม่ปรากฏชัด แต่ที่ปรากฏชัดเจนตอนนี้คือ ราคาสินค้าเริ่มขยับตัวสูงขึ้น
                          เนื่องมาจากราคาน้ำมันและมีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้นอีก จากราคาขายปลีก น้ำมันดีเซล ขยับเข้าใกล้ 30 บาท/ลิตร ทุกขณะ ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินอยู่ที่ 32.89 บาท/ลิตร หรือเกือบ 33 บาท/ลิตร เมื่อราคาน้ำมันสูงขึ้นในปัจจุบันก่อให้เกิดผลกระทบกับราคาสินค้าต่างๆ รวมไปถึงพลังงานอื่นๆ ด้วย เช่น ราคาก๊าซ LPG ที่ติดตั้งในรถแท็กซี่-รถยนต์ส่วนตัวและใช้ในครัวเรือน มีแนวโน้มว่าจะลอยตัวในเร็วๆ นี้ ซึ่งสาเหตุก็คงเกิดจากคนเปลี่ยนมาใช้ก๊าซ LPG กันมากขึ้นในรถยนต์ส่วนตัว จึงทำให้ต้องมีการปรับตัวตามความเป็นจริง สำหรับกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่ขึ้นราคาตามมาก็คือ มาม่า ขอขึ้นอีกซองละ 1 บาท และได้รับไฟเขียวให้ขึ้นเรียบร้อยแล้ว ทำให้ประชาชนที่เป็นแฟนประจำของมาม่า ต่างร้องเป็นเสียงเดียวกันถึงความเดือดร้อนในการขึ้นราคาครั้งนี้ น้ำมันพืชขอขึ้นอีก 5 บาท จาก 38 บาท/ขวด ขึ้นไปอีกไม่เกิน 43.50 บาท/ขวด
                            โดยแบ่งเป็น 2 ช่วงในการเปลี่ยนแปลงราคาในครั้งนี้ นม ปรับราคา 20% ในช่วงเดือนสิงหาคม เนื่องจากต้นทุนน้ำนมดิบที่มีราคาสูงขึ้น และกระผมเชื่อว่าหลังปีใหม่ เราคงได้เห็นสินค้าอีกหลายตัวทยอยขึ้นราคาตามมา สำหรับตัวเลขเงินเฟ้อในปีหน้าพุ่งขึ้นอีก 4% อย่างไรก็ขอฝาก ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงคลังและกระทรวงพาณิชย์ ช่วยดูแลด้วยครับ ไม่ให้ตัวเลขเงินเฟ้อพุ่งสูงจนเกินไป สำหรับราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นในตอนนี้และในปีหน้าอย่างไร 
                            ก็ขอฝากกระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าภายใน) ช่วยดูแล ควบคุมเรื่องของราคาสินค้า การกักตุนสินค้า การขาดแคลนสินค้า รวมถึงการดูต้นทุนที่แท้จริงของการผลิต เพื่อไม่ให้ผู้ประกอบการขึ้นราคาเอาเปรียบผู้บริโภคมากจนเกินไป เพราะราคาสินค้าขึ้นได้ง่ายแต่โอกาสที่ราคาสินค้าจะถูกลงหรือลดลงมีความเป็น ไปได้น้อยมาก ถึงแม้รัฐบาลหรือ ครม. ได้ไฟเขียวให้ขึ้นค่าจ้าง 1-7 บาท ในวันที่ 1 มกราคม 2551 
                     แต่เมื่อเทียบกับราคาสินค้าที่สูงขึ้นตอนนี้และหลังปีใหม่ การขึ้นค่าแรงแทบไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นมาเลย จากปัญหาดังกล่าวข้างต้นเราจะเห็นว่า ปัญหาที่เป็นต้นเหตุให้ราคาสินค้าขึ้น ปัญหาใหญ่ก็คือปัญหาเรื่องราคาน้ำมัน ดังนั้น รัฐบาล หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง จึงต้องช่วยกันดูแล 
                     และถ้าจำเป็นจริงๆ ก็ควรที่จะศึกษาวิจัย พลังงานทดแทนใหม่ๆ มาทดแทนราคาน้ำมันที่มีราคาสูงขึ้น พลังงานทดแทน เช่น ก๊าซ LPG, NGV, พลังงานแสงอาทิตย์, น้ำมันจากพืช, พลังงานจากน้ำ, พลังงานไฟฟ้า ฯลฯ ถามว่าทำไมต้องหาพลังงานใหม่ๆ มาทดแทน เนื่องจากราคาน้ำมัน เราไม่สามารถควบคุมได้ เพราะเป็นสินค้านำเข้า ประเทศไทยเราไม่มีน้ำมันเป็นของตนเอง จึงทำให้ราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้นตามมา บนความท้าทายของการขึ้นราคาสินค้านี้ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ คงต้องทำงานอย่างหนัก เพราะ ราคาสินค้าที่ขึ้นมามากๆ มีผลกระทบต่อประชาชนโดยตรง และมีผลต่อประเทศชาติของเราด้วย

แฟชั่นของ นิสิต นักศึกษา

โดย บ้านเมืองออนไลน์เมื่อเวลา 8:53:00  วันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ.2550
คอลัมน์ : บ้านเมืองเรื่องวังจันทร์ : แฟชั่นของ นิสิต นักศึกษา โดย ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(www.drsuthichai.com)
แฟชั่นของ นิสิต นักศึกษา

      ถ้า พูดถึงปัญหาเรื่องแฟชั่นการแต่งกายของนิสิตนักศึกษา ได้มีการพูดถึงกันมานานหลายปีทีเดียว โดยเฉพาะ การแต่งกายตามแฟชั่นของนิสิต นักศึกษา หญิง ทั้งมหาวิทยาลัยรัฐและมหาวิทยาลัยเอกชน ที่นิยมสวมเสื้อติ้วรัดรูปโชว์ส่วนสัด กับกระโปรงสั้นเอวต่ำ

      ถาม ว่ารูปแบบเหล่านี้ ถูกต้องตามระเบียบการแต่งกายหรือ ยูนิฟอร์ม ในชุดนิสิต นักศึกษา ของมหาวิทยาลัยหรือไม่ ตอบว่า ไม่ถูกต้อง

      การแต่ง กายตามระเบียบหรือ ยูนิฟอร์ม ถือว่าเป็นการให้เกียรติแก่สถาบัน เนื่องจากสถาบันแต่ละแห่งได้กำหนดยูนิฟอร์มไว้แล้ว ก็ต้องเหมือนกันหมด การแต่งกายตามแฟชั่นจึงเป็นการไม่ให้เกียรติแก่สถาบัน ไม่ให้เกียรติแก่อาจารย์ผู้สอน อีกทั้งยังทำให้เสียภาพลักษณ์ของประเทศในด้านวัฒนธรรม ขนาดฝรั่งต่างชาติ ยังชี้ว่า ชุดนิสิต นักศึกษา เซ็กซี่มากเกินไป

      การแต่งกายตาม กระแสแฟชั่นของนิสิตนักศึกษาอาจทำให้หลายๆ คน ต้องยอมอดอาหารเพียงเพื่อต้องการสวมใส่เสื้อติ้วให้สวย การสวมใส่ชุดนิสิต นักศึกษา ตามแฟชั่น ถ้าไปถามนิสิต นักศึกษาชาย หรือผู้ชาย ส่วนใหญ่จะบอกว่า ชอบมอง ซึ่งเป็นเรื่องปกติของผู้ชาย

      การแต่งกายตามแฟชั่น ของนิสิต นักศึกษาหญิง ซึ่งถ้าเซ็กซี่มากเกินไป ก็อาจจะทำให้เกิดคดีอาชญากรรมขึ้น เช่น การถูกข่มขืน การแอบถ่ายจากพวกโรคจิต ฯลฯ โดยไม่คาดคิด

      การที่กระทรวง วัฒนธรรม นำโดย คุณหญิงไขศรี ศรีอรุณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและนายกสภามหาวิทยาลัยนเรศวร ได้ออกมารณรงค์เกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งโดยส่วนตัว ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี

      จาก กรณีดังกล่าว กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงวัฒนธรรม จึงร่วมกันจัดโครงการรณรงค์เรื่องการแต่งกายของนิสิตนักศึกษา โดยทำเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อให้นิสิตนักศึกษาแต่งกายด้วยชุดนิสิต นักศึกษาตามระเบียบของมหาวิทยาลัยและการแต่งกายด้วยชุดลำลองภายใน มหาวิทยาลัย โดยเชิญรองอธิการบดีฝ่ายกิจการ นิสิต นักศึกษาของมหาวิทยาลัยรัฐและเอกชนกว่า 30 แห่งมาหารือกันในวันที่ 25 มิถุนายน ที่ผ่านมา

      ซึ่งมหาวิทยาลัยต่างๆ มีความเห็นตรงกันในเรื่องดังกล่าว โดยมีมาตรการต่างๆ เช่น รณรงค์การแต่งกายชุดนิสิต นักศึกษาโดยให้รุ่นพี่เป็นแบบอย่างรุ่นน้อง มีสโมสรนิสิต นักศึกษาช่วยดูแล จัดประกวดแต่งกายชุดนิสิต นักศึกษา มีป้ายรณรงค์ มีอาจารย์และหน่วยงานต่างๆ ในมหาวิทยาลัยดูแล หากแต่งกายไม่เหมาะสม จะไม่ให้เข้าเรียน ไม่ให้ติดต่อกับหน่วยงานต่างๆ และมีบทลงโทษ เช่น ตักเตือน ตัดคะแนนความประพฤติ ส่วนชุดลำลองดูแลให้แต่งให้เหมาะสม บางแห่งมีการจัดเวทีเสวนาประชาสัมพันธ์โครงการและเวทีแถลงนโยบายการแต่งกาย ชุดนิสิต นักศึกษา ถูกระเบียบ ทำแผ่นปลิวจดหมายข่าวและโปสเตอร์เชิญชวนผลิตสปอตวิทยุ จัดบอร์ดรณรงค์การแต่งกายเคลื่อนที่ จัดทำสติ๊กเกอร์และที่คั่นหนังสือ จัดเวทีเดินแฟชั่นโชว์และการแสดงละครเวทีกลางแจ้ง ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นให้นิสิตระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัย ตระหนักถึงความสำคัญและหันมาแต่งกายถูกระเบียบเพิ่มมากขึ้น

      ดัง นั้นขอฝากท่านอธิการบดี มหาวิทยาลัยทุกแห่ง รวมทั้งครู อาจารย์ พ่อ แม่ ผู้ปกครอง ตลอดจนตัวนิสิต นักศึกษา ช่วยกันตรวจตรา ดูแล ตักเตือน การแต่งกายให้ถูกระเบียบ ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีและถูกต้อง

      เป็น การให้แก่เกียรติสถาบัน ครู อาจารย์ และสร้างความปลอดภัยให้กับตัวเอง ทำให้ตัวนิสิต นักศึกษา เกิดความภาคภูมิใจในสถาบัน และชุดยูนิฟอร์มของสถาบันตัวเอง